6 ปัจจัยเทรนด์มัดใจลูกค้ากลุ่ม High-end ปี 2018


เน้นความสำคัญกับ khowhow

จากการให้ข้อมูลของ นาย Jean-Christophe Estrampes ผ.อ.ฝ่ายแผนงานของบริษัท Brandimage ระบุว่า ณ เวลานี้แบรนด์สินค้าชั้นสูงต่างเน้นย้ำจุดขาย ด้วยการบอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาของงานฝีมือเชิงช่างสุดปราณีตพร้อมให้ know-how อันมีเอกลักษณ์ของแบรนด์ พร้อมกับนำเสนอ know-how ของตนเองด้วยยุทธวิธีใหม่ ๆ เช่น Gucci ได้ฉลองครบรอบ 90 ปีด้วยการเสนอแคมเปญ Forever Now เพื่อให้ลูกค้าเห็นความสำคัญของเหล่าช่างฝีมือที่ร่วมทำงานให้กับแบรนด์ฯ ด้าน Louis Vuitton ก็ได้จัดงาน open house เพื่อให้ลูกค้าแฟนคลับเข้ามาชมทุกขั้นตอนการผลิตกระเป๋า monogram ใบหรูอย่างใกล้ชิด นอกจากนั้น Hermès ก็ได้เปิด pop-up store ขึ้นเพื่อแสดง item ต่าง ๆที่เป็นงานช่างฝีมือระดับสูง ส่วน Chanel ก็ได้จัดแฟชั่นโชว์ตามแนวคิดที่ว่าด้วยเรื่องราวของช่างฝีมือศิลป์ กล่าวคือแบรนด์สินค้าระดับสูงต่างพากันยกช่างฝีมือที่ปกติจะอยู่เบื้องหลัง ออกมาเผยตัวตนอยู่เบื้องหน้า

Gucci ฉลองครบรอบ 90 ปี กับแคมเปญ Forever Now

การผจญภัยเหนือคำบรรยาย

เพราะผู้บริโภคยุคนี้คือนักเดินทางท่องโลกบวกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำให้โลกเราแคบลง สถานที่ที่เคยเข้าถึงได้ยากกลับเข้าถึงง่ายขึ้น แบรนด์ชั้นสูงต่าง ๆจึงพยายามพรีเซนท์สินค้าด้วยการใช้ฉากหรือองค์ประกอบที่พวกเขาได้แรงบันดาลใจมาจากสถานที่ที่เข้าถึงได้ยากจริง เช่นการนำเสนอของ Louis Vuitton ที่ให้นางแบบถ่ายแบบกับรองเท้าส้นสูง 12 นิ้วกลางทะเลทรายโคโลราโด หรือแม้แต่ Bollinger ที่จัดแคมเปญเชิญผู้โชคดีให้ร่วมทริปบนเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว โดยบินสูงถึง 15 กิโลเมตรเพื่อชมสุริยุปราคา ในโครงการ #Aperfectmoment นอกจากนั้น Or’Normes บริษัททัวร์ชั้นนำยังได้นำเสนอแพคเกจทัวร์แบบใหม่ให้เลือก เช่นนั่งสมาธิ ณ วัดกลางป่าในพุกาม ของพม่า หรือเลือกเดินเที่ยวกลางเมืองกับนักปราชญ์ในกรุงบัวโนสไอเรส ของสเปน

Bollinger จัดแคมเปญ บินสูงถึง 15 กิโล เพื่อชมสุริยุปราคา

Unisex ไม่แบ่งแยกเพศ

หลายครั้งที่ผู้มั่งมีจะใช้ชีวิตไปกับรสนิยมอันหรูหรา พร้อมก้าวข้ามเรื่องของข้อจำกัดและธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งรวมถึงการแบ่งเพศและอายุ ดังนั้นแนวคิดของการพัฒนาสินค้าแบบ unisex ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ชั้นสูงจึงไม่ใช่เป็นเรื่องของเทรนด์แต่เป็นค่านิยมที่เห็นได้ทั่วไป เช่น Selfridges แบรนด์แฟชั่นที่เปิดแผนก Agender ภายใต้แคมเปญ He, She and Me โดยมีการจัดวางเสื้อผ้าที่ไม่มีฉลาก, ยี่ห้อและขนาด ไม่แบ่งแยกว่าเหล่านี้เป็นเสื้อผ้าของเพศไหน ด้าน Le Pitti Uomo แบรนด์เสื้อผ้าผู้ชายในเมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี ก็ได้เปิดมุม Open เพื่อนำเสนอเสื้อผ้าแบบ unisex ด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ Gucci ก็ได้จัดแคมเปญเสื้อผ้าแบบเดียวกันที่ใส่ได้ทั้งชายและหญิง

การออกแบบเสื้อผ้าที่ไม่แบ่งแยกเพศจากแบรนด์ดัง

โชว์ไลฟ์สไตล์อันโดดเด่น มีความเป็นอยู่ที่ดี

นอกจากเรื่องการกินการนอนและไลฟ์สไตล์ที่มีรสนิยมเลอเลิศแล้ว ความหรูหราในปัจจุบันนี้ยังสะท้อนมาถึงเรื่องความแข็งแรงของร่างกายได้ การออกกาลังกายจึงมีส่วนสำคัญในการสะท้อนภาพลักษณ์ ซึ่งหลายแบรนด์ก็ต่างสอดแทรกความหรูหราไว้ในเทรนด์นี้ เช่น ช่างเครื่องประดับ De Grisogono ที่นำเสนอนาฬิกาเชื่อมต่อการวัดระดับหัวใจและร่างกายเมื่อต้องออกวิ่งด้วยการประดับอัญมณี ส่วนโรงแรม Mandarin Oriental ก็ได้นำเสนอแพคเกจวิ่งให้กับลูกค้าที่เข้ามาพัก ด้านเสื้อผ้ากีฬา Adidis ที่ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ดังอย่าง Stella McCartney ก็ได้ปรับงานออกแบบให้สวยงามขึ้น นอกจากนั้น Nike Studio ก็ได้นำเสนอคอลเล็กชั่นกีฬาผสานกับภาพลักษณ์ของงานศิลป์ในแกเลอรี่ที่จีนอีกด้วย

NIKE studio ที่ถูกเซตติ้งขึ้นใน ปักกิ่ง อาร์ต แกลลอรี่

เท่าเทียมและยุติธรรม

กล่าวได้ว่ารสนิยมที่หรูหราที่แท้จริงคือความเคารพ เราจะเห็นบ่อยๆว่าเหล่าคนรวยมักชอบเข้าร่วมองค์กรการกุศลและให้คุณค่ากับเงินที่เสียไปเพื่อซื้อของที่เคารพผู้คนและธรรมชาติ ซึ่งปกติแล้วสินค้าหรูหรามักถูกผูกติดกับภาพลักษณ์ที่ดูฟุ่มเฟือย, สิ้นเปลืองและสร้างมลพิษ ดังนั้นแบรนด์ต่างๆจึงหันมาตระหนักถึงการจับจ่ายเพื่ออนุรักษ์และแบ่งปัน เช่น Hermès ได้นำเศษหนังเหลือใช้จากการผลิตกระเป๋า Kelly มาผลิตสินค้าในไลน์ Petit h เพื่อลดการใช้วัสดุอย่างสิ้นเปลือง ส่วน Rolls-Royce และ Porsche บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ระดับเวิร์ลคลาสก็ได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ ด้วยการผลิตรถพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ขึ้น

เศษหนังเหลือใช้จากการผลิตกระเป๋า Kelly ซึ่งเป็นสินค้าในไลน์ Petit h ของ Hermès

สร้างความพิเศษด้วย made to order

เมื่อไม่นานนี้แบรนด์ Génomique ได้คิดค้นการผสมสูตรผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลเส้นผมสำหรับลูกค้าแต่ละรายโดยการวิเคราะห์เส้นผมของลูกค้าที่เข้ามาสั่งซื้อในร้าน ซึ่งจะเห็นได้ว่าการออกแบบ-ผลิตสินค้าตามสั่งเช่นนี้ เป็นรูปแบบการผลิตเฉพาะสินค้าชั้นสูง เมื่อผนวกรวมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆก็จะทำให้แบรนด์นั้นเป็นที่สนใจจากกลุ่มลูกค้ามากขึ้น เช่น MBWatch แบรนด์นาฬิกาที่สามารถปรับกลไกภายในและนิสัยในการจัดสรรเวลาของลูกค้าได้ตามต้องการ หรือแม้แต่ช่างเสื้อตัดสูทในนิวยอร์ก Michael Andrews Bespoke ที่ตัดสูทในราคาชุดละ 10,000-15,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สินค้าแต่ละชิ้นมีเอกลักษณ์และความแตกต่าง

“จากสิ่งต่าง ๆเหล่านี้เราอาจสรุปได้ว่า ความหรูหราในอนาคตข้างหน้าไม่ได้เกี่ยวกับการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย แต่จะเป็นการใช้จ่ายเพื่อมีความเป็นอยู่ที่ดี ไปพร้อมกับเพื่อสังคมและโลกที่ดีด้วย