โดยการลงนามกับจุฬาฯเป็นการลงนามบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น เพื่อผลักดันงานวิจัยสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ซึ่งบีโอไอเน้นที่กลุ่มผู้ประกอบการในสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย หรือไทย ซับคอน(Thai Subcon) ที่ทำงานร่วมกับหน่วยพัฒนาการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือหน่วย BUILD ของบีโอไอ ก่อนจะขยายไปยังเอกชนกลุ่มอื่น ๆ ต่อไป รวมถึงกิจการของต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ส่วนการลงนามความร่วมมือระหว่างบีโอไอกับวว.นั้น เป็นความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์บุคลากรทักษะสูง(Strategic Talent Center : STC) นับเป็นหน่วยงานที่ 6 ที่ร่วมมือกับบีโอไอ ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงฐานข้อมูลบุคลากรทักษะสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกันและมีบริการรับรองคุณสมบัติหรือความเชี่ยวชาญ เพื่อให้บริการแก่ภาคเอกชนที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน
นอกจากนี้ จุฬาฯและบีโอไอยังมีแผนขยายการเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง ผ่านการทำงานของศูนย์ STC เพื่อรองรับความต้องการงานวิจัยของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศที่กำลังเติบโต ซึ่งมั่นใจว่าจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืนต่อไป
สำหรับผลงานวิจัยที่ประสบความสำเร็จของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาทิอุปกรณ์ตรวจจับการทำงานของร่างกายมนุษย์ (Biosensors) การพัฒนาเทคนิคการผลิตกระดูกไทเทเนียมด้วยเทคโนโลยี 3D Printing และ CT Scan การผลิตอุปกรณ์ร่างกายเทียมสำหรับผู้สูงวัยและผู้พิการ เช่น กระดูกสะโพกเทียม หัวเข่าเทียม การพัฒนาเข็มฉีดยา และท่อระบายน้ำในดวงตาขนาดเล็ก ด้วยเทคโนโลยีการผลิตระดับนาโน เพื่อช่วยลดความเจ็บปวดของผู้ป่วย และการพัฒนาเทคนิคการสร้างชีววัสดุจากสารสกัดโปรตีนในไหมเพื่อนำไปใช้รักษาและซ่อมแซมบาดแผล หรือกระดูก โดยเมื่อแผลหรืออาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้ว ชีววัสดุดังกล่าวจะย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เป็นต้น
ขณะที่ ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในเบื้องต้นนี้ทางจุฬาฯเตรียมนำ 4 บริษัทลูกที่ตั้งขึ้นมา เพื่อนำงานวิจัยของจุฬาฯไปสู่เชิงพาณิชย์เข้าประเดิมก่อน ได้แก่บริษัทเมอติกคูรี่ ,บริษัทไทยทาเนี่ยมโบน ,บริษัท จุ๊ยอินโนเอท และบริษัทเบียร์บัส โดยจะหารือกับบีโอไอเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินทุนจาก กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่มีวงเงิน 10,000 ล้านบาทที่บีโอไอดูแลต่อไป