เจอเข้าแบบนี้คุณจะซื้อไอโฟน 8 หรือจะยอมรอตัวที่ใหม่กว่าละ?
ด้วยราคาที่ต่างกัน 200 – 300 เหรียญสหรัฐ กับการอดทนรออีก 6 สัปดาห์ เพื่อ iPhone X แต่ถ้าทนต่อการยั่วของศัพท์แสงทางการตลาดใหม่ๆ ที่ทางผู้ผลิตโฆษณาออกมาอย่าง Bionic chip, Super Retina และ deeper pixels ไม่ไหวก็อาจจะต้องยอมจ่าย
คุณต้องการโทรศัพท์ใหม่จริงหรือ?
ก่อนการเปิดตัว iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ทาง apple ได้ทำการอัปเดตระบบใหม่อย่าง iOS 11 ออกมา แน่นอนว่ามีเป็นการอัปเดตฟรีที่มาพร้อมด้วยการออกแบบหน้าตาใหม่ พร้อมคุณสมบัติใหม่อย่างการรองรับการทำงานกับแอปพลิเคชันทางด้าน augmented reality, ระบบจัดการไฟล์, ระบบ control center, ไดร์ฟเวอร์ที่ปลอดภัยกว่าเดิม และ Siri เวอร์ชั่นใหม่ที่มีการเปลี่ยนเสียงกับเทคนิคการแปลภาษารูปแบบใหม่
แต่ iOS 11 ไม่ได้มีไว้สำหรับไอโฟนทุกตัว แม้จะบอกว่ามันพร้อมจะทำงานกับไอโฟน 5s ขึ้นไป ก็ใช่ว่าทุกฟังก์ชั่นจะสามารถใช้งานในไอโฟนทุกรุ่นที่ติดตั้งระบบใหม่เข้าไปได้ คุณต้องยอมรับว่าระบบ person-to-person payments นั่นใช้งานได้ตั้งแต่ไอโฟน SE ขึ้นไปเท่านั้น และ Augmented reality ก็มีไว้สำหรับไอโฟน 6S
คุณอาจจะปลื้มมากๆ กับคุณสมบัติการกันน้ำของไอโฟน 7 ที่ราคาลดลงไปมากพอตัวรับการมาของ iPhone 8
คุณจะได้จากอะไรจาก iPhone 8 และ 8 Plus ?
หากไม่เป็นการทำร้ายจิตใจกันมากเกินไปก็อยากจะเรียกว่าจริงๆ แล้วนี่คือ ไอโฟน 7S และ 7 Plus เพราะมันเป็นการเพิ่มเติมความสามารถใหม่กับดีไซน์ใหม่เข้าไปน้อยนิดเท่านั้นเอง เริ่มจากฝาด้านหลังที่เปลี่ยนมาเป็นกระจก ตามมาด้วยคุณสมบัติหลักอย่างการชาร์จแบบไร้สาย เพียงนำไอโฟนไปวางไว้บนอุปกรณ์จ่ายไฟแบบไร้สายที่ชื่อ Qi แน่นอนว่าไม่มีแถมมาให้ต้องไปหาซื้อแท่นชาร์จเอาเอง และปิดท้ายด้วยความสามารถของโปรเซสเซอร์ใหม่อย่าง A11 ที่นอกจากจะบอกว่ามีความเร็วแล้วยังมี neural engine ที่สามารถเรียนรู้ที่จะจัดการกับงานที่ซับซ้อน
แตกต่างจากไอโฟน 7 ตรงไหน?
ไอโฟน 8 ทั้งสองตัวมาพร้อมความสามารถการชาร์จไร้สาย, ฝาด้านหลังเป็นกระจก และการทำงานของซีพียูที่เร็วขึ้นบนความจุที่มากขึ้นถึง 64 GB และ 256 GB ทาง apple บอกว่าเรื่องของกล้องก็สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น ด้วยความสามารถของกล้องคู่ทำให้การถ่ายภาพ Portrait ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น และแน่นอนว่ามีระบบแฟลชที่ดีขึ้นกว่าเดิม
เหมือนไอโฟน 7 ที่ตรงไหน?
เรื่องงานออกแบบแทบจะไม่เห็นความแตกต่าง นอกเสียจากมุมมองจากทางด้านข้างเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ส่วนเรื่องอายุการใช้งานแบตเตอรี่ ความละเอียดหน้าจอ และเรื่องกันฝุ่นกันน้ำเหมือนเดิมทุกประการ
ราคาและกำหนดวางจำหน่าย
iPhone 8 เริ่มขายในราคา 699 เหรียญสหรัฐ ส่วน iPhone 8 Plus ขายที่ราคา 799 เหรียญสหรัฐ สำหรับตัวเริ่มต้นที่ 64 GB พร้อมส่งถึงมือในวันที่ 22 กันยายน 2560 (ในต่างประเทศ)
คุณจะได้อะไรจากการรอ iPhone X ?
อย่างแรกที่คุณจะได้ก็คือพื้นที่การใช้งานหน้าจอที่ใหญ่กว่าคือ 5.8 นิ้ว ในขนาดเครื่องที่เล็กกว่าไอโฟน 8 เพราะปุ่มโฮมได้ถูกนำออกไปแล้ว ทำให้การปลดล็อคด้วยลายนิ้วมือทำไม่ได้อีกต่อไป ต้องหันไปใช้การปลดล็อคด้วยใบหน้าแทน และเรื่องของกล้องหน้ายังลามไปถึงคุณสมบัติใหม่อย่างการนำเอาใบหน้าไปทำ Animoji เพื่อประสบการณ์ใหม่ในการแสดงออกทางอารมณ์ได้อีก อีกเรื่องคือกล้องก็จะได้รุ่นของเลนส์ที่ดีกว่า iPhone 8 Plus
แตกต่างจากไอโฟน 8 ตรงไหน?
iPhone X เหนือกว่าตรงที่มีความสามารถเรื่องของปลดล็อคด้วยใบหน้าและ Animoji ความละเอียดของจอที่มากขึ้นกว่าเดิมเยอะ สิ่งที่ขาดหายไปคือปุ่มโฮมและระบบปลดล็อคด้วยลายนิ้วมือ กล้องหลังที่ถ่ายภาพได้อย่างนิ่ง กับกล้องหน้าที่มาพร้อมกับโหมด Portrait ของกล้องหน้า
เหมือนกับไอโฟน 8 ที่ตรงไหน?
เรื่องที่ได้เหมือนกันก็คือ การชาร์จแบบไร้สาย, ฝาหลังเป็นกระจก และซีพียูตัวใหม่ A11 ส่วนกล้องหลังก็มีโหมดการทำงานที่ใกล้เคียงกัน
ราคาและกำหนดวางจำหน่าย
iPhone X เริ่มต้นที่ 999 เหรียญสหรัฐ พร้อมส่งของ 3 พฤศจิกายน 2560 (ในต่างประเทศ)
ได้รับข้อมูลแบบนี้กันแล้ว iPhone ตัวต่อไปของคุณคือตัวไหน?
ขอบคุณข้อมูลจาก
Money.cnn.com