“คลัง” ไล่บี้เก็บภาษีสโมสรและนักฟุตบอลอาชีพ


นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ได้ให้นโยบายเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรทั่วประเทศ ออกไปให้ความรู้ในการเก็บ ภาษีสโมสรและนักฟุตบอลอาชีพ ประเภทต่างๆอย่างถูกต้อง

เนื่องจากขณะนี้การแข่งขันฟุตบอลในประเทศได้กลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่มีเงินหมุนเวียนจำนวนมาก เช่นเดียวกับนักฟุตบอลอาชีพที่มีค่าจ้าง มีรายได้สูง บางคนสูงนับเป็นแสนบาทต่อเดือน ดังนั้น กรมสรรพากรจึงส่งเสริมให้นักฟุตบอล และสโมสรได้มีความรู้ ความเข้าในการเสียภาษีให้ถูกต้อง ซึ่งที่ผ่านมา กรมได้ส่งเจ้าหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับภาษีมาแล้วหลายเดือน โดยครอบคลุมสโมสรฟุตบอลอาชีพทุกระดับตั้งแต่ระดับสูงสุด โตโยต้า ไทยลีก, เอ็ม 150 แชมเปียนชิพ รวมถึงการแข่งขันลีกระดับภูมิภาคด้วย

กรมไม่ได้มีเจตนาไปไล่บี้เก็บภาษีใคร แต่เป็นเรื่องของความถูกต้อง และความเป็นธรรมที่จะต้องจัดเก็บภาษีแก่ผู้มีรายได้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะนักเตะที่มีชื่อเสียง หรือนักเตะธรรมดา เหมือนกับประเทศอื่นๆ ในโลก อย่างลีกฟุตบอลชั้นนำในยุโรป

ในต่างประเทศมีการเข้มงวดการจัดเก็บภาษีนักกีฬามาก ไม่มีการยกเว้นจะเก่ง หรือโด่งดังแค่ไหน ก็ต้องเสียหมด เช่น ลิโอเนล เมสซี ดาวเตะทีมชาติอาร์เจนตินา ของสโมสรบาร์เซโลนา ที่จ่ายภาษีไม่ถูกต้องก็ถูกดำเนินคดีฐานเลี่ยงภาษีในสเปนมาแล้ว ซึ่งในไทยก็ต้องทำเช่นกัน แต่ของไทยยังเสียภาษีต่ำกว่าหลายประเทศอยู่มาก โดยเสียตามขั้นบันไดสูงสุดไม่เกิน 35% ขณะที่ในยุโรปต้องเสียภาษีสูงถึง 50%”

รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า นักกีฬาอาชีพ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับนักแสดงสาธารณะ ร่วมกับนักแสดงละคร ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ นักร้อง นักดนตรี นักกีฬาอาชีพ

ค่าตัวสูงสุด 6 อันดับแรกจากการคาดการณ์ตามสื่อ เมื่อ  7 ม.ค.60 ขอยกตัวอย่างราคาซื้อขาย

  1. ธนบูรณ์ เกษารัตน์ 50 ล้านบาท (ไม่ได้ระบุว่าเดือนละเท่าไหร่)

(จาก เมืองทอง ยูไนเต็ด ไป เชียงราย ยูไนเต็ด ฤดูกาล 2017 เลกแรก)

  1. ธีราทร บุญมาทัน 30 ล้านบาท

(จากบุรีรัมย์ ไป เมืองทองฯ ฤดูกาล 2016 เลกสอง ภายใต้สัญญายาว 4 ปีครึ่งและดาวเตะวัย 26 ปีจะได้เงิน 700,000 บาทต่อเดือนทีเดียว)

  1. ปกเกล้า อนันต์ 20 ล้านบาท

(จากชลบุรี เอฟซี ไป แบงค็อก ยูไนเต็ด ฤดูกาล 2017 เลกแรก)