ปี 2560 ภาพรวมตลาดอุปกรณ์ให้ความสว่างหรือหลอดไฟในประเทศอยู่ที่ 25,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 2% จากปีก่อนหน้า โดยแยกเป็นกลุ่มธุรกิจหลอดไฟ 5,800 ล้านบาท ธุรกิจโคมไฟ 16,000 ล้านบาท และอุปกรณ์อื่นๆ 3,700 ล้านบาท ซึ่งแลมป์ติจูด (Lamptitude) ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่สามารถชิงตลาดในกลุ่มธุรกิจโคมไฟรูปแบบทันสมัยได้เป็นอันดับ 1 สร้างยอดขายได้ปีละกว่า 500 ล้านบาท ด้วยการใช้นวัตกรรมเพิ่มความสว่างประหยัดพลังงาน บวกกับงานออกแบบสไตล์โมเดิร์น ทำให้มีจุดยืนธุรกิจที่ชัดเจน
คุณสาธิต ก่อกูลเกียรติ กรรมการผู้จัดการบริษัท เฟมโก้ อินเตอร์ไลท์ จำกัด (ทายาทรุ่นที่ 2) เล่าว่า กว่า 30 ปีมาแล้วที่บริษัทได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์ให้แสงสว่าง แลมป์ติจูด มีการเติบโตมาเรื่อยๆ อย่างในปี 2560 แม้ยอดขายจะลดลงจากหลายปัจจัยทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีผลประกอบการรวมกว่า 500 ล้านบาท
ไม่ได้วัดค่าความสำเร็จจากตัวเลขที่พุ่งทะยาน แต่คือการพาธุรกิจไปตลอดลอดฝั่ง
เคล็ดลับความสำเร็จในการทำธุรกิจนี้ คือเราจะไม่ได้มองแค่เรื่องตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่เราจะมองที่ความยั่งยืนทั้งในตัวของแบรนด์และความเชื่อถือของลูกค้า ในเรื่องของยอดขายที่ตกลงมานั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่กังวล เนื่องจากยอดขายที่เกิน 500 ล้าน ก็จะมีค่าบริหารจัดการส่วนต่างๆอย่างระบบ ERP หรือระบบงานทางด้านบัญชี การเงิน งานทรัพยากรบุคคล ระบบบริหาร การผลิตและระบบการกระจายสินค้าเพิ่มขึ้นตามมาด้วย ซึ่งต้นทุนต่างๆที่เพิ่มขึ้นนี้ก็อาจทำให้รายได้เราลดลงกว่าเดิม ส่วนการไปเพิ่มสาขาก็อาจอาจยากต่อการไปควบคุมมาตรฐานสินค้า บริการ “ความสำเร็จของผมไม่ใช่เรื่องของตัวเลขที่พุ่งทะยาน แต่คือการพาธุรกิจไปต่อได้ตลอดไปและมีผู้สืบทอดธุรกิจ ฉะนั้น เอสเอ็มอีอาจไม่จำเป็นต้องโตแบบพุ่งปรี๊ดมาก ถ้าไม่ได้มีแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะการมาคิดว่าทำยังไงให้ธุรกิจเราอยู่ได้ตลอดไปมันยากยิ่งกว่า”
ธุรกิจโคมไฟ ไม่ได้แค่ขาย แต่ต้องสร้างประสบการณ์ใหม่และแก้ปัญหาให้ลูกค้า
ความตั้งใจตั้งแต่วันแรกที่เปิดแลมป์ติจูดคือ Lamp+ Attitude มันเป็นการสร้างมุมมองหรือทัศนำคติใหม่ๆเกี่ยวกับแสงไฟ ผมไม่เคยตั้งเป้ายอดขายเลยว่าปีนี้ต้องโตเท่าไหร่ ความตั้งใจเพียงอย่างเดียวคือต้องการให้ลูกค้าเห็นความสำคัญของ Lighting มันเกิดมาจากแนวคิดที่ว่า สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นได้เพราะแสงไฟ เราจึงอยากมอบความรู้ให้ลูกค้าเห็นคุณค่าของแสงไฟ ผมมองว่าการทำธุรกิจถ้าเราคิดดีและส่งมอบสิ่งดีๆให้ลูกค้า สิ่งดีๆก็จะกลับมาหาเรา เวลามีโคมไฟรุ่นใหม่ๆเข้ามา ผมจะถามก่อนเลยว่า ถ้ามันอยู่ไปอีก 10 ปีมันจะเปลี่ยนง่ายมั้ย คือเราไม่ใช่จะขายแค่วันนี้วันเดียว แล้วให้ลูกค้าไปรับเคราะห์หาเอาเอง อย่างลูกค้าเราที่เป็นร้านขายเสื้อผ้า เราก็จะช่วยเขาคิดว่าจะใช้ไฟแบบไหนที่ทำให้เสื้อผ้าเขาดูสวยขึ้น ซึ่งบางคนไม่รู้เลยว่ามุมที่ขายเสื้อผ้าดีที่สุดคือห้องแต่งตัว เราจึงต้องแก้ไขปัญหาให้ด้วยการไปเซ็ตไฟในห้องแต่ตัวให้ออกมาดูดีด้วย และที่สำคัญการใช้ไฟที่สว่างมากเกินไปก็ไม่ดีต่อดวงตา จึงต้องปรับสมดุลระหว่าง Human และ Architecture ปัจจุบันเราก็ได้ทำ Lighting Design ให้กับหลายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ ร้านอาหาร เสื้อผ้า สินค้าไอทีและโรงแรมชั้นนำ
นำสิ่งที่ชอบและความเป็นตัวเองมาประยุกต์ใช้ต่อยอดธุรกิจครอบครัว
ช่วงแรกไม่ได้ชอบทำธุรกิจนี้เลย แต่เหตุผลที่ต้องมาสานต่อธุรกิจ จึงพยายามประยุกต์ในสิ่งต่างๆที่เราชอบ ไม่ว่าจะเป็นงานดีไซด์งานการตลาด เพื่อทำงานในธุรกิจนี้ได้สนุกขึ้น ผมมองว่าข้อดีของธุรกิจครอบครัวมันคือความรู้ของคุณพ่อคุณแม่และคอนเน็คชั่นที่ส่งต่อมาถึงเรา ผมสามารถเรียนรู้จากเดิมด้วยการปรับเพิ่มเติมได้ หรือแม้แต่เรียนรู้เพื่อสร้างความแตกต่างไปจากเดิมได้ เราไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เขาทำมามันถูกหรือผิด แต่เราอยากทำในแบบที่เป็นเรา เช่น ซัพพลายเออร์ที่ใช้ก็จะเป็นเจ้าที่ต่างจากของเดิมที่คุณพ่อคุณแม่เคยใช้
ส่งมอบคุณค่าสู่ Influencer กลยุทธ์ความสำเร็จที่ใช้ต่อกันมาตั้งแต่รุ่นแรก
การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคโซเชียลมีเดียทำให้การทำธุรกิจยากขึ้น เมื่อก่อนเราจะเดินตามสเต็ปคือ ออกแคตตาล็อก ไปออกบูทในงานสถาปนิก งานบ้านและสวน จัดงานปาร์ตี้ แล้วก็จะมียอดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากออนไลน์เข้ามา สื่อสิ่งพิมพ์ที่เราเคยลงก็ทยอยหายไป ซึ่งออนไลน์เราก็เริ่มมานานแล้ว เมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมาถือว่าได้ผลดีมาก แต่ปัจจุบันการซื้อโฆษณาทางออนไลน์มีราคาแพงขึ้น เราจึงต้องประยุคต์ใช้เครื่องมือต่างๆ และอีกอย่างที่สำคัญคือการทำธุรกิจมันไม่ได้มีเฉพาะคนซื้อและคนขายเท่านั้น แต่มันมีคนที่อยู่ตรงกลางหรือที่เรียกว่า Influencer อย่างในงานของเราก็จะคนในสายอาชีพสถาปนิก นักตกแต่งภายใน ซึ่งคนเหล่านี้จะมีอายุการทำงานตั้งแต่จบจนเกษียณยาวมาก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เราประสบความสำเร็จมาตั้งแต่อดีต เพราะเราพยามเข้าไปจัดกิจกรรมและแจกแคตตาล็อกเล่มใหญ่ๆให้นักศึกษาที่เรียนสถาปัตฯในมหาวิทยาลัยอยู่เสมอ เพื่อให้แบรนด์เราเข้าไปอยู่ในใจเขา
Passion สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดบนโลกใบนี้
การทำธุรกิจผมมองว่า Passion เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด ซึ่งตอนแรกผมแทบไม่มี ทำให้คิดอะไรก็ไม่ออก ทำอะไรก็ไม่ได้ พอเราหามันเจอ มันทำให้เรามองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น หรือมีไอเดียใหม่ๆในการทำธุรกิจ ซึ่งตรงนี้มันทำให้เราไม่ได้ตื่นมาทำงานเพื่อเงินเท่านั้น แต่เพื่อสนองความต้องการที่อยากจะท้าทายตัวเราเอง ผมมองว่า Passion หรือความหลงไหลในธุรกิจ สำคัญกว่าทุกอย่างบนโลกใบนี้ ชมเนื้อหาอื่นๆของรายการ SME Take Off