เนื่องจากภาวะด้านเศรษฐกิจของไทย และ สถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน เป็นตัวแปรสำคัญให้ผู้ประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ SME ต้องปรับตัวอย่างหนักแล้ว การทำความเข้าใจและติดตามเทรนด์ การตลาดออนไลน์ ยังเป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเนื่องจากการตลาดเชิง Offline เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถช่วยกระจายโอกาสทางธุรกิจไปสู่กลุ่มลูกค้าอื่นได้
Sellsuki ซึ่งเป็นระบบบริหารออเดอร์หลายช่องทางที่ครบวงจรที่สุดในไทยที่มีผู้ใช้กว่า 30,000 ร้านค้า เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในสังคมในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมา พบว่า
มีปรากฏการณ์หนึ่งเกิดขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ นั่นก็คือตัวเลขร้านออนไลน์ในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด มีร้านออนไลน์เปิดใหม่ขึ้นจำนวนมาก แต่ก็ต้องปิดตัวลงไปจำนวนมากเช่นกันเนื่องจากสงครามการแข่งขันที่ดุเดือด ทั้งคู่แข่งในไทย และการเข้ามาถึงของผู้ค้าชาวจีน รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนนโยบายจาก Social Media เจ้าดังที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา กับอีกสารพัดคอร์สต่างๆ ที่นำเสนอเส้นทางสู่ความสำเร็จที่มีมากมายนับไม่ถ้วน จากจุดนี้จึงเกิดเป็นงาน Meetup รวมบรรดาเจ้าของร้านออนไลน์ให้มาพบกันและแชร์ประสบการณ์ของจริงที่ต่างจากตำรา ทั้งปัญหาและกรณีศึกษาที่น่าสนใจที่ทำให้เป็นร้านค้าผู้นำตลาดอย่างยาวนาน ภายใต้หัวข้อ “ร้านค้า – ข้าไม่ตาย” จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา โดยผู้ที่สนใจร่วมฟังการบรรยายได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และซักถามข้อสงสัยแบบไม่มีกั๊กจากทั้งเจ้าของร้านนักธุรกิจที่ปั้นแบรนด์จนประสบความสำเร็จ และ จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจาก Sellsuki ที่มีประสบการณ์ในวงการ E-commerce โดยประเด็นที่ถูกเน้นหนักในการสัมมนาครั้งนี้คือผู้ทำธุรกิจจะเอาตัวรอดได้อย่างไรเมื่อการทำการตลาดจำเป็นต้องอาศัยทั้งช่องทาง Offine และ Online ควบคู่กัน แต่ในขณะเดียวกันที่วิธีการทำการตลาด Online ที่นิยมทำกันในปัจจุบัน เช่น การยิงโฆษณาผ่านทาง Social Network เริ่มให้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพึงพอใจนัก เริ่มเปิดงานด้วยการบรรยายความรู้โดยคุณเลอทัด ศุภดิลก CEO บริษัท Sellsuki ที่ได้แชร์ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์วงการธุรกิจและเทรนด์ใหม่ๆ ที่กำลังจะส่งผลต่อการทำธุรกิจในอนาคตอันใกล้ไม่เกินอีก 5 ปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงของ Facebook ที่ออกมาประกาศถึงการเปลี่ยนแปลงที่เน้นให้ความสำคัญกับการ “สร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย” บน Facebook ดังนั้นการโพสต์คอนเทนต์ในเชิงธุรกิจจะถูกลดความสำคัญ (ลดจำนวนลง) จากหน้าฟีดหลักแล้วถูกย้ายไปอยู่บนฟีดเฉพาะสำหรับคอนเทนต์เชิงธุรกิจอย่าง Facebook Marketplace ต่อด้วยไฮไลท์ของการสัมนาที่ได้ 2 แขกรับเชิญพิเศษผู้เป็นเจ้าของธุรกิจ ที่ได้มาเล่าถึงประสบการณ์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นและการก้าวผ่านรอยต่อช่วงขยายธุรกิจโดยการปรับตัวที่ไม่จำกัดอยู่แค่ช่องทาง offline ไปสู่ช่องทาง online มากขึ้น
ท่านแรกคือคุณโอ สารสิทธิ์ เรืองรุ่ง เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชาย THE ROOM’S
เล่าประสบการณ์ทำธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้นจากการเปิดร้านเล็กๆ บริเวณห้างสรรพสินค้าแพลตตินัม จนต่อมาได้ขยายไปสู่หน้าร้านที่ใหญ่ขึ้นบนห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ ยิ่งธุรกิจขยายตัวการโปรโมตร้านค้าก็ควรขยายช่องทางตามไปด้วย คุณโอจึงเริ่มใช้สื่อ Social Media มาช่วยกระจายชื่อเสียงร้านค้าเพื่อไม่ให้โอกาสหยุดอยู่ที่นักช็อปสาย Offine ที่เข้ามาชมสินค้าผ่านหน้าร้านเท่านั้น นอกจากใช้ในการโปรโมตร้าน คุณโอซึ่งสนใจศึกษาข้อมูลเชิงสถิติอยู่แล้วยังได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือการเก็บสถิติแบบ Online ที่เก็บข้อมูลได้จากหลากหลายช่องทาง พร้อมทั้งการแสดงผลข้อมูลที่ทำความเข้าใจได้ง่าย มาเก็บข้อมูลจำนวนยอดขายและจำนวนสต๊อกสินค้าของแต่ละสาขาเพื่อมาวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค แล้วนำผลไปปรับใช้กับแผนการตลาดในครั้งต่อไป โดยตัวอย่างที่สร้างปรากฏการณ์ให้แก่สังคมไทยก็คือ ปรากฏการณ์เสื้อเชิ้ตฮาวายลายสัปปะรดที่โด่งดังในช่วงสงกรานต์ และอีกมากมายที่เติบโตได้ด้วยพลังของการวิเคราะห์สถิติ
ท่านสอง คุณโน้ต พินิจ เขื่อนสุวงค์ เจ้าของแบรนด์สมุนไพรบ้านอาจารย์
ได้มาเผยกลยุทธ์ “การทำตัวเองให้เป็นแม่เหล็ก” ผ่านการสร้างข้อได้เปรียบโดยการดึงจุดแข็งของสินค้า คุณโน้ตเริ่มต้นการทำธุรกิจจากการมองหาสินค้าที่สร้างได้จากต้นทุนที่เขามีอยู่ ซึ่งนั่นก็คือความรู้ในสายงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์พร้อมกับใช้นวัตกรรมมาทำให้สินค้าของเขาแตกต่างจากสินค้าประเภทเดียวกันในท้องตลาด และกลายมาเป็น “แม่เหล็ก” ดึงดูดลูกค้าและผู้ประกอบการเจ้าอื่นในที่สุด นอกจากนี้เขายังสร้างความเหนือกว่า โดย การมองหาโอกาสจากตลาดระดับอินเตอร์ด้วยการศึกษากฎหมาย ความเป็นไปได้ในการทำการค้าและการจดสิทธิบัตรเผื่อเป็นใบเบิกทางให้สินค้าเข้าไปตีตลาดตามประเทศต่างๆ อาทิ ลาว กัมพูชา อินโดนีเชีย ออสเตรเลีย ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีเคล็ดลับสร้างธุรกิจที่เป็นหัวใจสำคัญที่ให้แบรนด์ของคุณโน้ต “ฆ่าไม่ตาย” ด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าผ่านทางหน้าเว็บไซต์และกระจายคอนเทนต์ไปสู่ Social Media ทุกสื่อที่ตนถืออยู่ในมืออย่างสม่ำเสมอ ทั้ง Facebook LINE@ และ ดีลเลอร์ร้านขายยาทั่วปรเทศ เพื่อเป็นการพาตัวเองออกไปสู่คนวงกว้างขึ้น และ ลับแคมเปญเพิ่มยอดขายให้คมขึ้นด้วยการเก็บข้อมูลผ่านสถิติการเข้าชมเว็บไซต์ การมีส่วนร่วมจากผู้เข้าชม และ การแบ่งเวลาบริหารธุรกิจอย่างน่าสนใจ ด้วยหลักโฟกัสในจุดที่ตนเองทำได้ดี คือ การพัฒนาผลิตภันฑ์และขยายฐานตลาด ส่วนงานที่เสียเวลาหรือทำได้ไม่ดี เช่น การทำสต๊อก แพ็คของส่ง หรือตอบลูกค้า ก็จะใช้บริการพาร์ทเนอร์อย่าง Sellsuki และผลิตภันฑ์ในเครือเพื่ออุดจุดอ่อนและไม่เสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็นทางธุรกิจ
นอกจากนี้ยังมีวิทยากรอีก 2 ท่านคือ
คุณทิม – ฑาฑิม ประกายมณีวงศ์ LINE@ Certified Trainer ที่มาอัพเดทเทรนด์การตลาดแบบจู่โจมด้วยการ Broadcast ข้อความส่งตรงไปหาลูกค้าโดยไม่ต้องพึ่งการซื้อโฆษณา ทำให้ธุรกิจมีโอกาสปรากฏตัวบนพื้นที่ที่มีค่าที่สุดในยุคสมัยนี้อย่าง พื้นที่บนหน้าจอสมาร์ทโฟนของลูกค้า ซึ่งปัจจุบันตลาดนี้ยังไม่เฟ้อมากนัก ตามมาด้วยคุณมุก – กัญสพัฒน์ อัศวรุจานนท์ Digital Marketing ที่ทำงานใกล้ชิดกับ Facebook ได้มาสรุปแนวทางการทำคอนเท้นต์บน Facebook ในยุคที่ต้องการความสัมพันธ์ที่มีความหมาย (Meaningful Relationship) ตามที่ Mark Zuckerberg ประกาศไว้เมื่อต้นปี โดยเทรนด์ที่ร้านค้าที่ค้าขายและใช้ Facebook ต้องเตรียมตัวให้ดีก็คือ การสร้างคอนเท้นต์ที่ทำให้เกิดการสนทนาของจริง แชร์เพราะความสนใจจริงๆ ไม่ใช่เพราะรางวัล รวมไปถึงอัพเดทนโยบายโฆษณาบน Facebook ที่รัดกุมมากขึ้น และ คำนึงถึงคุณค่าของมนุษย์มากขึ้น เรียกได้ว่าคลายความสงสัยให้กับใครหลายคนได้ว่าทำไมยิงโฆษณาแล้วไม่ผ่าน หรือค่าโฆษณาแพงขึ้น นับได้ว่าหลังจากจบงานนี้ ทีมงานได้รับผลตอบรับที่ดีมากจากกลุ่มผู้ประกอบการที่มาร่วมงาน เพราะได้รับรู้เรื่องราวของจริงจากการทำธุรกิจจริง ได้ร่วมแชร์ปัญหาพร้อมกับได้รับกลยุทธ์แก้ไขจากกูรูและเพื่อนๆ นักธุรกิจที่มาร่วมงาน Meetup ครั้งนี้ หลายคนได้องค์ความรู้กลับไปต่อยอดและพัฒนาหนทางการขายใหม่ๆ ซึ่งหลายเรื่องเป็นเรื่องราวของคนวงในที่ไม่เคยรู้มาก่อน โปรดติดตามข่าวคราวงาน Meetup คลับสุกิเดย์ครั้งต่อไป เพราะเราอยากให้ธุรกิจไทย สำหรับใครที่อยากรู้ข้อมูลวงในและสร้าง connection กับเพื่อนแม่ค้ารายอื่นๆ ตามมาคุยกับเราได้ที่กรุ๊ป “ร้านค้าผู้น่า like by Sellsuki”