e-Commerce ไทย ต้องแข่งขันกับตลาดโลกได้ภายใน 2 ปี


กรุงเทพ – 24 กรกฎาคม  2561 สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย ประกาศสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการ e-Commerce ไทย และสร้างมาตรฐานในการแข่งขันให้เสมอภาคเท่าเทียมกันของผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ

นายธนาวัฒน์ มาลาบุปผา นายกสมาคมฯ กล่าวว่า พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2563 คาดการณ์ว่า จะมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มมากถึง 59 ล้านคน คิดเป็น 84% ของคนไทยทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าจะมีจำนวนนักช้อปปิ้งออนไลน์เพิ่มขึ้นอีก 20 ล้านคน ภายใน 5 ปี

ทางสมาคมฯมองเห็นว่า การเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทยในระดับรากหญ้า โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เอาอีคอมเมิร์ซมาใช้อย่างจริงจัง ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและอยู่รอด สนับสนุนการเติบโตด้านส่งออก เพิ่มโอกาสในการจ้างงาน และลดช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนเมืองและคนชนบท

จากการสำรวจมูลค่า e-Commerce ปี 2561 โดย สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงดิจิทัลฯ หรือ ETDA เผยว่า มูลค่าตลาด B2C อีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ปี 2560 มีมูลค่ามากกว่า 153,867.31 ล้านบาท มีสัดส่วนในการเติบโตถึง 28.89% ส่วนมูลค่าอีคอมเมิร์ซเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ (Enterprises) มีมูลค่าถึง 15,939.81 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายจากทั้งภายในและภายนอก นับตั้งแต่การแข่งขันทางการค้าจากต่างประเทศ  มาตราฐานในการส่งออกสินค้าไทย การเก็บภาษี การขนส่ง บทบาทของหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ศักยภาพผู้ประกอบการไทย ล้วนเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในการพัฒนาตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย

สมาคมฯ จึงประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบกอบการไทยให้ใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นเครื่องมือ เพิ่มประสิทธิภาพ ในการทำธุรกิจ ช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยพัฒนา และเกิดการกระจายรายได้ให้ทั่วถึง โดยได้รับเกียรติจากผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซแถวหน้าของเมืองไทย เป็นคณะทำงานและดำเนินการภายใต้ภารกิจสำคัญ 3  ประการ ได้แก่

  • สร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการไทย มีความสามารถในการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ
  • ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน ของผู้ประกอบการออนไลน์ ในประเทศและที่มาจากต่างประเทศ
  • ส่งเสริมให้เกิดการค้าออนไลน์ออกนอกประเทศให้เติบโตสู่ตลาดโลก