Data Scientist คือเทรนด์ของอาชีพใหม่ที่กำลังมาแรงในยุคของ Big Data


จากยุคดิจิทัลที่มีปริมาณข้อมูลขนาดใหญ่ ไหลเวียนอยู่บนโลกออนไลน์ และมีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ใช้เวลาว่างกับการเล่นอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย การดำเนินธุรกิจและการบริหารจัดการองค์กร ทั้งองค์กรขนาดใหญ่ สตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี องค์กรภาครัฐและเอกชน ได้มีแพลตฟอร์มของบริษัท เพื่อการบริหารการจัดเก็บข้อมูลขององค์กร ซึ่งนับเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาล เพราะหากองค์กรใดในยุคดิจิทัลมีความสามารถในการวิเคราะห์และจัดการข้อมูล Big Data ที่มีความหลากหลายได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ก็จะสามารถเข้าใจถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาด สามารถออกแบบสินค้าและบริการที่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันให้กับองค์กรนั้นได้เป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้ต้องการ Data Scientist

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรภัทร ไพรีเกรง ผู้อำนวยการสถาบัน Data Tech Academy กล่าวว่า “ในอนาคตอันใกล้นี้ Big Data จะกลายเป็น Fast Data ในที่สุด โดย Core Concept ของ Data Tech Academy จะเป็นลักษณะของการจัดการเรื่องของข้อมูลเปรียบให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือ ถ้าคุณมีข้อมูลในองค์กรแต่คุณไม่มีการบริหารจัดการ หรือไม่รู้ว่าจะเอาข้อมูลมาสร้างคุณค่าทางธุรกิจได้ยังไง ธุรกิจก็จะเสียโอกาสและไม่สามารถก้าวตามทันคนอื่นได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการปรับตัว และไม่ใช่การปรับตัวทั่วๆ ไป แต่ต้องเป็นการปรับตัวแบบรวดเร็วเพื่อให้ทันกับจำนวนข้อมูลมหาศาลที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน”

งานวิจัยพบว่าการเกิดขึ้นของข้อมูลได้เพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 2 เท่าในทุกๆ 1.2 ปี ในระดับโลกมีอาชีพ Data Scientist ทั้งหมด 111,995 คน ในขณะที่ประเทศไทยมีผู้ที่มีความสามารถในการทำ Data Science เพียง 338 คน ซึ่งไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่จบหลักสูตรนี้มาโดยตรง แต่คือคนที่อาศัยประสบการณ์จนสามารถทำงานในสายอาชีพนี้ได้ และจากงานรีเสิร์ชของ Glassdoor 2017 พบว่าอาชีพที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดทั่วโลกคือ Data Scientist มีค่าตอบแทนมากเป็นอันดับ 16 ของโลก ค่าเฉลี่ยของเงินเดือนอาชีพนี้เท่ากับ 110,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (เริ่มต้นเงินเดือนที่ 52,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

แท้จริงแล้ว อาชีพ Data Scientist หรือนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล คือผู้ทำหน้าที่คัดกรองข้อมูลที่มาจากหลากหลายช่องทาง อาทิ อีเมล์, ไฟล์เอกสารต่างๆ, ภาพถ่าย, วีดีโอ, ไฟล์เสียง, การโพสต์ข้อความลงบนโซเชียลมีเดีย, และอื่นๆ จากนั้นนำมาศึกษา-คิดวิเคราะห์-แยกแยะข้อมูล ทำการเก็บและเปลี่ยนแปลงข้อมูล นำไปสู่องค์ความรู้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ การกำหนดกลยุทธ์องค์กร พัฒนาแนวทางการต่อยอดธุรกิจ การตัดสินใจในด้านต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป้าหมายเพื่อให้การดำเนินธุรกิจสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งหมดนี้ทำให้อาชีพ Data Science หรือนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล กำลังเป็นอาชีพที่มีความต้องการขององค์กรไม่ว่าจะภาครัฐ และเอกชนเป็นอย่างมาก

“ณ ตอนนี้เรายังขาดบุคลากรที่เก่งในเรื่อง Data Science อยู่มาก ที่เราเห็นกันคือการจ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในส่วนนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วคนไทยก็มีความสามารถเพียงแค่เพิ่มองค์ความรู้ให้ครอบลุมมากขึ้น เราก็จะสามารถสร้างเครื่องมือในการคิดวิเคราะห์ข้อมูลได้ด้วยตัวเอง ถ้าเราสามารถเพิ่มจำนวนของบุคลากรกลุ่มนี้ได้เราก็จะตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและตลาดกลุ่มนี้ได้รวดเร็วมากขึ้น เพราะฉะนั้น Data Science จึงมีความสำคัญ และทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ เพราะทุกคนจะมีความรู้ความเชี่ยวชาญในขอบเขตสายงานที่ตัวเองทำอยู่แล้ว อย่างเช่น Financial Marketing เค้าอาจเรียนเรื่องการบริหารจัดการข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการนำเอาเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทางธุรกิจให้ดีขึ้น”

ด้วยเหตุนี้ ทางสถาบัน Data Tech Academy ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและความต้องการบุคลากรคุณภาพด้าน Data Science จึงร่วมมือกับวิทยาลัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์ (CITE) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และ เว็บไซต์ NextEmpire ผู้นำเสนอเทรนด์ ธุรกิจ นวัตกรรม ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านการสอนและการปฏิบัติจริงรวมอยู่ในหลักสูตรเดียวกัน โดยรูปแบบการเรียนการสอนจะเริ่มต้นจากขั้นพื้นฐาน วิธีคิดอย่างเป็นระบบ ผ่านทางบทเรียนในห้องเรียนและการเวิร์คชอป การประชุมเชิงปฏิบัติการ เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ เพื่อเพิ่มทักษะการทำงาน พร้อมรับฟังข้อคิดและประสบการณ์ตรงจากวิทยากรรับเชิญจากองค์กรชั้นนำในประเทศไทยที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์จากการทำงาน

“หลักสูตรของเราจะเป็น Short course จุดประสงค์ของเราคือต้องการพัฒนาบุคลากรให้รวดเร็วที่สุด เพราะในไทยยังขาดบุคลากรกลุ่มนี้อยู่จำนวนมาก ดังนั้นจุดสำคัญของเราคือเรื่องการ Reskill ซึ่งจะเป็นการปรับปรุงและเพิ่มองค์ความรู้ให้กับตัวเอง โดยการร่วมมือกับบริษัท NextEmpire ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ จะทำให้การประชาสัมพันธ์ของหลักสูตรนี้กระจายไปในวงกว้างผ่านทางสื่อต่างๆ ซึ่งไม่ใช่แค่การประชาสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว เพราะจุดประสงค์หลักของเราคือต้องการสร้าง Professional Learning Community ซึ่งในไทยก็ยังขาดแคลน Community ในลักษณะนี้อยู่ ขาดการนำความรู้ในภาคการศึกษากับองค์ความรู้ทางด้านภาคอุตสาหกรรมมาประยุกต์ใช้เข้าด้วยกัน ถ้าเรานำสองเรื่องนี้มาผสมผสานกันได้ก็จะรวมกันกลายเป็น Community ที่ใหญ่ขึ้น เวลาเรามีปัญหาเราก็จะมีผู้เชี่ยวชาญค่อยชี้แนะแนวทางและให้คำปรึกษา ก็จะเกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ได้เรียนรู้ปัญหาและสามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”

โดยจะเปิด 4 หลักสูตรแรก เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ได้แก่

– หลักสูตร Road to Data Science : เข้าใจเทรนด์และทักษะที่ต้องการของ Data Science ในอนาคต จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ พร้อมยกระดับไปสู่ Data-driven Enterprise และเข้าถึงปัญหาจริงทางธุรกิจผ่าน Problem-Solving เวิร์คช็อป ค่าใช่จ่าย 16,900 บาท

– หลักสูตร AI Technology for Intelligent Business :เข้าใจส่วนประกอบและเทคนิคที่สำคัญของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ผ่านการพัฒนาจริงเพื่อที่นำไปใช้ต่อยอดทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ค่าใช่จ่าย 16,900 บาท

– หลักสูตร Data Management for Growth : ลงลึกด้านการบริหารจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนของธุรกิจผ่านการดูแลอย่างเป็นระบบ เพื่อสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้จริงในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ค่าใช่จ่าย 44,900 บาท

– หลักสูตร Blockchain and Smart Contract : เข้าใจ Blockchain และการนำไปประยุกต์ใช้ในแบบต่างๆในโลกธุรกิจปัจจุบัน เช่น สกุลเงินดิจิตอล สัญญาอัจฉริยะ เป็นต้น ผ่านจากการพัฒนาจริงบน Platform มาตรฐาน ค่าใช่จ่าย 24,900 บาท

โดยทั้ง 4 หลักสูตรเปิดรับสมัครแล้วสำหรับนักเรียนรุ่นแรก ผู้ที่สนใจสมัครเรียน สามารถดาวน์โหลดใบสมัคร หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/datatechacademy

“เราจะเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ประเทศพัฒนาขึ้น เพราะจุดมุ่งหมายของเราคือต้องการสร้างคนอย่างรวดเร็ว การที่จะนำพาประเทศไทยก้าวกระโดดไปเป็น Thailand 4.0 ได้นั้น เราควรพัฒนาทักษะและความสามารถของคนไปแบบก้าวกระโดดด้วยเช่นกัน นี่คือความท้าทายของเราในการที่จะทำอย่างไรให้คนที่เรามีในปัจจุบันเกิดการ Reskill เกิด Professional Learning Community ตามมา และทำอย่างไรให้คนเหล่านั้นเรียนรู้ได้ไวขึ้น และแน่นอนว่าเมื่อองค์กรที่ได้บุคลากรเหล่านี้เข้าไปทำงานก็จะสามารถบริหารจัดการองค์กรได้ดียิ่งขึ้น นำพาให้ประเทศไทยพัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนต่อไป”