ยุคสมัยนี้ต้องทำการตลาดรอบด้านแบบ O2O เท่านั้น


หากมีการกล่าวถึงกลยุทธ์การตลาดที่มาแรงในตอนนี้ จะต้องมีเรื่องของ Online to Offline หรือ O2O อยู่ด้วยเสมอ เพราะในปัจจุบันไม่เพียงพอแล้วถ้าจะทำการตลาดด้านเดียว ไม่ว่าจะเป็นทางออฟไลน์หรือออนไลน์ แต่จะต้องนำมาใช้แบบผสมผสาน โดยหยิบใช้ข้อดีของทั้งคู่เพื่อการทำการตลาดที่ได้ผลตอบรับจากผู้บริโภคที่สมบูรณ์แบบที่สุด

Online to Offline คืออะไร

Online to Offline หรือ O2O คือการผสมผสานธุรกิจออนไลน์ไปยังออฟไลน์ โดยที่ออฟไลน์คือการตลาดแบบเดิมที่มีมาอย่างยาวนาน เน้นการมีหน้าร้านหรือจุดจำหน่ายเพื่อเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด และมีความน่าเชื่อถือในระดับสูงเพราะลูกค้าจะได้เห็นสินค้าจริงและเกิดความเชื่อมั่น ต่างกับออนไลน์คือการสื่อสารหรือทำการธุรกิจผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างกว่าและมีขีดจำกัดที่น้อยมาก อีกทั้งยังมีต้นทุนในการทำธุรกิจที่ต่ำกว่า แต่ไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้อย่างเต็มที่เนื่องจากลูกค้าจะไม่ได้เห็นสินค้าจริงก่อนสั่งซื้อ ดังนั้น Online to Offline จึงเป็นกลยุทธ์แนวรุกการตลาดเพื่อดึงจุดแข็งของการตลาดออนไลน์และการตลาดออฟไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อเสริมทัพให้ธุรกิจมีการจัดการที่ดีและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้มากที่สุด

ทำไมต้องเดินไปพร้อมกัน

เพราะผู้บริโภคไม่ได้อยู่แค่ในโลกออนไลน์ หรือ ออฟไลน์เท่านั้น แต่ใช้ชีวิตอยู่ในทั้ง 2 โลก ซึ่งปัจจุบัน ตลาดการซื้อขายออนไลน์ของไทยมีมูลค่าตลาดประมาณ 2-3% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกทั้งหมด แม้ตลาดออนไลน์จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแต่ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่ายังมีอีกกว่า 98% ที่ยังคงซื้อขายกันในโลกออฟไลน์ ดังนั้นการทำตลาดแค่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะไม่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทั้งหมด แต่ Online to Offline จะเป็นการใช้จุดแข็งของการตลาดออนไลน์ในการสร้างความน่าเชื่อถือพร้อมกับการสร้างเครือข่ายชุมชนผู้ที่สนใจ ส่วนออฟไลน์เป็นช่องทางการกระจายสินค้าสู่ลูกค้าโดยตรง และลดความกังวลของลูกค้าเพราะแบรนด์มีที่ตั้งสามารถจับต้องได้ เช่น Amazon เป็น E-commerce ยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันเริ่มทดลองโมเดล O2O เปิดร้าน สะดวกซื้อ Amazon Go โดยลูกค้าจะหยิบของแล้วสแกนสินค้าผ่าน App เมื่อได้ของครบตามต้องการแล้ว ก็เดินออกจากร้านได้เลย และยังมีแผนจะเปิดร้านที่เชื่อมโลกออนไลน์กับโลกจริงเพิ่มอีกด้วย