เมื่อวันจันทร์ 27 มกราคม ที่ผ่านมา สตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ของจีน DeepSeek ได้ก้าวขึ้นเป็นแอปพลิเคชันฟรีที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดในสหรัฐฯ บน App Store ของ Apple แทนที่ ChatGPT ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของ OpenAI การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก โดยมีมูลค่าตลาดลดลงหลายพันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ภายหลังในวันเดียวกัน DeepSeek ได้ประกาศจำกัดการลงทะเบียนผู้ใช้งานใหม่ชั่วคราว โดยระบุว่าเกิดจาก “การโจมตีขนาดใหญ่ที่ไม่ประสงค์ดี” แม้ว่าผู้ใช้งานเดิมยังคงสามารถเข้าใช้งานได้ตามปกติ
ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี นักลงทุน และนักวิเคราะห์มองว่ากระแสความตื่นตัวนี้เป็นผลจากการแข่งขันในยุคของปัญญาประดิษฐ์เชิงกำเนิด (Generative AI) ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่และสตาร์ทอัพต่างพยายามรักษาความได้เปรียบในตลาดที่คาดว่าจะมีรายได้สูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในสิบปีข้างหน้า
DeepSeek ก่อตั้งขึ้นในปี 2023 โดย เหลียง เหวินเฟิง ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยงด้าน AI ชื่อ High-Flyer DeepSeek เริ่มต้นจากหน่วยวิจัย AI ของกองทุนในเดือนเมษายน 2023 โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) และการบรรลุ ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ OpenAI และคู่แข่งอื่นๆ กำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้น
ตามการวิเคราะห์ของ Jefferies บริษัท DeepSeek ยังคงได้รับการสนับสนุนและเป็นเจ้าของโดย High-Flyer อย่างเต็มรูปแบบ โดยความนิยมของ DeepSeek เริ่มต้นเมื่อต้นเดือนมกรคม หลังจากเปิดตัวโมเดลการให้เหตุผล R1 ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเทียบเท่ากับโมเดล o1 ของ OpenAI ความพิเศษของ R1 คือเป็น โอเพ่นซอร์ส ทำให้นักพัฒนา AI ทุกคนสามารถใช้งานได้ จนกลายเป็นแอปที่ติดอันดับต้นๆ ในร้านค้าแอปพลิเคชันและตารางอันดับของอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกัน DeepSeek ก็ยังมีข้อจำกัดในบางเรื่อง เช่นเดียวกับแชทบอทของจีนอื่นๆ เช่น เมื่อถูกถามถึงนโยบายของ สี จิ้นผิง DeepSeek มักเลี่ยงตอบคำถามในแนวทางที่คล้ายกัน
ความสำเร็จของ R1 แม้เผชิญข้อจำกัดด้านชิป DeepSeek สามารถพัฒนา R1 ได้สำเร็จ แม้เผชิญกับการจำกัดการส่งออกชิปจากสหรัฐฯ ไปยังจีนถึงสามครั้งในช่วงสามปีที่ผ่านมา ต้นทุนการพัฒนา R1 ถูกประเมินโดย Jefferies ว่าอยู่ที่ประมาณ 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (โดยประมาณ 70% ถูกใช้ไปกับค่า GPU) ซึ่งน้อยกว่า 10% ของต้นทุนการพัฒนาโมเดล Llama ของ Meta ซึ่งความสำเร็จนี้สร้างคำถามมากมายในอุตสาหกรรม เช่น การระดมทุนมหาศาลในรอบต่างๆ ของสตาร์ทอัพจำเป็นจริงหรือไม่ และตลาด AI กำลังอยู่ในภาวะฟองสบู่หรือเปล่า
สิ่งที่เกิดขึ้น ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นในด้านเทคโนโลยี AI ของจีน แม้จะเผชิญกับข้อจำกัดการส่งออกชิปจากสหรัฐฯ การลงทุนในงานวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ต่อเนื่อง รวมถึงการพึ่งพาเทคโนโลยีที่ผลิตในประเทศ เช่น ชิปจากผู้ผลิตในจีนเอง ช่วยให้ประเทศสามารถก้าวข้ามอุปสรรคสำคัญเหล่านี้ได้ ความสำเร็จนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนา AI เท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงความสามารถของจีนในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีภายใต้แรงกดดันอีกด้วย
ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป หรือ AGI (Artificial General Intelligence) ถือเป็นเป้าหมายที่หลายฝ่ายมองว่าอาจพลิกโฉมอุตสาหกรรมในหลากหลายแง่มุม การที่ DeepSeek ซึ่งเป็นบริษัทหน้าใหม่ในตลาดสามารถพัฒนาเทคโนโลยีได้ใกล้เคียงกับคู่แข่งรายใหญ่อย่าง OpenAI, Google และ Meta ยิ่งสร้างแรงกดดันให้บริษัทเหล่านี้ต้องเร่งพัฒนาและแข่งขันอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ความสามารถของ DeepSeek ในการลดต้นทุนการพัฒนา ยังเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการสร้างสรรค์ที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคที่บริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรม AI ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านเงินทุน การที่ DeepSeek สามารถใช้ต้นทุนต่ำในการพัฒนาระบบที่มีประสิทธิภาพสูงได้ แสดงถึงแนวทางใหม่ที่บริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมอาจนำมาเป็นแบบอย่างเพื่อเพิ่มความยั่งยืนในระยะยาว
Post Views: 13