Mo-Mo Paradise กระแสแรงไม่ตก ยอดขายโตกว่า 800 ล้านบาท


จากจุดเริ่มต้นชอบกินชาบู สุกี้สไตล์ญี่ปุ่นมาก ๆ สู่ผู้บริหาร Mo-Mo-Paradise ทุกสาขาในประเทศไทย และทำยอดโตกว่า 800 ล้านบาท

Smartsme จะพามาพูดคุยกับคุณสุรเวช เตลาน ผู้บริหาร Mo-Mo-Paradise ถึงมุมมองการทำธุรกิจ มีเคล็ดลับอย่างไรถึงสร้างยอดขายเป็นกอบเป็นกำ

จุดกำเนิด Mo-Mo-Paradise

คุณสุรเวช เตลาน ผู้บริหาร Mo-Mo-Paradise เล่าว่าธุรกิจนี้เกิดจากความชอบส่วนตัว โดยเป็นคนชอบกินชาบู สุกี้สไตล์ญี่ปุ่นมาก ๆ แล้วอยากให้ที่เมืองไทยมีชาบู สุกี้สไตล์ญี่ปุ่นดี ๆ เกิดขึ้น และได้มีโอกาสไปเจอร้าน Mo-Mo-Paradise ที่ญี่ปุ่น รู้สึกว่าร้านนี้มีความลงตัว ทั้งในเรื่องรสชาติ คุณภาพ และการบริการต่าง ๆ ตรงกับสิ่งที่ต้องการ หลังจากนั้นเลยคุยกับเจ้าของที่ญี่ปุ่นเพื่อขอซื้อแฟรนไชส์มาเปิดที่ไทย

“Mo-Mo-Paradise เป็นชาบูสไตล์ญี่ปุ่นแท้ ๆ แบบดั้งเดิมเลย แล้วเรายังคงคอนเซ็ปต์นั้นไว้ ตั้งแต่เริ่มต้นพยายามทำให้คนไทยทราบถึงวิธีการทาน หรือสไตล์รูปแบบของชาบูและสุกี้สไตล์ญี่ปุ่น เรียกได้ว่าเรายึดตามคอนเซ็ปต์ โดยที่ไม่ปรับเปลี่ยนไปตามกระแส แต่ว่าคงความดั้งเดิมแท้ ๆ ไว้ ทำให้เราฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ” คุณสุรเวช กล่าว

ความแตกต่างระหว่างสุกี้ยากี้ไทยกับญี่ปุ่น

คุณสุรเวช เล่าต่อว่าจะแตกต่างตรงสไตล์ คนไทยเน้นรู้รสชาติในทันที เน้นความจัดจ้าน แต่ถ้าเป็นสไตล์ญี่ปุ่นเน้นความลึกของวัตถุดิบ สำหรับผมความจริงแล้วการทานชาบูสุกี้ญี่ปุ่น หรือสไตล์ไทยมันดีคนละแบบแล้วแต่คนชื่นชอบแต่ทาง Mo-Mo-Paradise จะเน้นความเป็นไปญี่ปุ่นแท้ ๆ เป็นจุดที่ทำให้เราสร้างฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆโดยที่คนเข้าใจกันแล้วก็ชื่นชอบเรามากขึ้น

“เราเปิดมาเมื่อประมาณ 14 ปีที่แล้ว ปัจจุบันมีสาขาอยู่ที่ 23 สาขา แล้วเราค่อย ๆ สร้างฐานลูกค้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่ง และมีความใหญ่มากพอคนก็จะหันมาสนใจเราเยอะขึ้น ตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้เราก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม ยังทำสไตล์เดิม แล้วยังมุ่งมั่นที่จะส่งความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆให้กับลูกค้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง” คุณสุรเวช กล่าว

แนวคิดการทำธุรกิจ Mo-Mo-Paradise

คุณสุรเวช อธิบายว่าสำหรับการทำธุรกิจ ไม่ว่าธุรกิจร้านอาหารหรือธุรกิจอะไรก็ตาม การนําส่งสิ่งที่ดีที่สุด อย่างเราไม่ได้เน้นเรื่องความหลากหลาย เราเน้นเรื่องการนำวัตถุดิบดี ๆ ลูกค้าของเราจะทราบได้เลยว่าจะได้ของดีจริง ๆ กลับไปแล้วเขาจะรู้สึกอิ่มเอมกับสิ่งที่เขาตั้งใจมาเลือกรับกลับไป

พลิกวิกฤติเป็นโอกาส

คุณสุรเวช เล่าต่อว่าก่อนหน้านี้ตนไม่เคยทำเดลิเวอรี่มาก่อน เพราะเราคิดว่าสไตล์ร้านของเรามันอาจจะไม่เหมาะสมกับรูปแบบนี้ เพราะว่าจะเป็นระบบที่ลูกค้ามาทานที่ร้านได้ไม่จำกัด แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด เพราะว่าวันนั้นมีการล็อกดาวน์เกิดขึ้นทำให้บริษัทไม่มีรายได้ เราต้องทำอะไรใหม่ ๆ เลยคิดถึงเดลิเวอรี่ขึ้นมา ทำอย่างไรให้ลูกค้าสามารถรับอาหารที่มีคุณภาพ ไม่แพ้กับการทานที่ร้าน

“ไม่ใช่ว่าเน้นการเปิดสาขาเยอะแต่เราจะเน้นว่าทุกสาขาต้องทำให้ดีที่สุด อาจจะเห็นว่าเราไม่ได้มีสาขาเยอะมากมายแต่ว่าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง” คุณสุรเวช กล่าว

การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหาร

คุณสุรเวช เผยว่าอุตสาหกรรมอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่แต่ว่าถ้าเกิดมองย้อนกลับไป 3-4 ปีที่แล้ว เราก็จะมองว่าตลาดชาบูก็จะอยู่ที่ประมาณเท่านี้ ตลาดชาบูไม่ได้โตขึ้น แปลว่าคนเข้ามาเล่นในตลาดชาบูเยอะมาก แต่ก็มีคนที่ไปไม่รอดจริง ๆ แบรนด์ที่ที่เติบโตจริงมีไม่กี่แบรนด์ แบรนด์เกิดใหม่มีเยอะมาก และเรามองว่าผู้เล่นถ้าเกิดจะเข้ามาเป็นผู้เล่นรายใหม่หรือว่าจะเข้ามาเพื่อทำธุรกิจนี้อาจจะต้องมีความชัดเจนในรูปแบบของร้านนั้น ๆ หรือมีความแตกต่างตรงนี้ถ้าใครมีความมั่นใจก็สามารถเข้ามาทำธุรกิจนี้ได้ไม่ยาก แต่คุณต้องมั่นใจและดำเนินกิจการได้อย่างจริงจังและมีจุดเด่นที่ชัดเจนเป็นของตัวเอง

ฝากถึงผู้เล่นรายเก่าและรายใหม่

คุณสุรเวช เล่าต่อก่อนจะทิ้งท้ายว่าการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นรายเก่าหรือรายใหม่ สิ่งที่ต้องมุ่งมั่น คือเราต้องมุ่งมั่นจริง ๆ ว่าเราจะส่งอะไรให้กับลูกค้า ส่งมอบอาหารที่อร่อย คุณภาพดี การบริการที่ดีให้กับลูกค้าให้ได้ ถ้านำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพูดมาได้สำเร็จ ผมเชื่อว่าลูกค้ายังไงก็ตอบรับ ผมมองว่าอุตสาหกรรมร้านอาหารถ้ามีผู้เล่นดี ๆ เข้ามา ถ้ามีคนที่ทำร้านอาหารดี ๆ ที่เกิดขึ้นเยอะๆ มันจะทำให้อุตสาหกรรมเติบโตเป็นภาพรวมอย่างจริงจังและมันจะทำให้อุตสาหกรรมเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ

คุณสุรเวช ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าผมไม่ได้มองว่าการมีคนเข้ามาอยู่ในวงการนี้เพิ่มจะมาเป็นคู่แข่ง ผมมองว่าถ้าทุกคนมาด้วยความเป็นตัวจริงมาด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงๆ จะสามารถทำให้อุตสาหกรรมเติบโตขึ้นได้อย่างจริงจัง ดังนั้นถ้าเกิดใครคิดว่าจะทำธุรกิจด้านร้านอาหารขอให้มีความมุ่งมั่นเหล่านี้ กลับไปทำธุรกิจให้ดีที่สุด ผมเชื่อว่าการแข่งขันกับตัวเองการทำตัวเองให้ดีที่สุดจะสามารถทำให้ธุรกิจแต่ละท่านเติบโตได้อย่างจริงจัง และแข็งแรง