คนชอบแก้ตัว อาจเสียโอกาสการทำงานโดยไม่รู้ตัว


สิ่งเดียวที่ขวางคุณสู่จุดหมาย นั่นคือข้ออ้างห่วยๆ ที่พูดซ้ำๆ กับตัวเอง ทุกครั้งที่เราพูดจึงเหมือนกับการยิงปืน หากเรายิงปืนขึ้นฟ้าก็จะไม่เป็นการทำร้ายใครให้บาดเจ็บ แต่หากเราเล็งไม่ดี ลูกกระสุนอาจพลัดไปโดนคนอื่นจนได้รับความบาดเจ็บได้

หากพยายามเต็มที่แล้ว แต่ผลลัพธ์กลับออกมาไม่ดี หัวหน้าก็จำเป็นต้องไต่ตรองว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก หัวหน้ามีหน้าที่พูดคุยกับคนในทีม เกี่ยวกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น และแบ่งปันประสบการณ์ว่ามีวิธีใดบ้าง ที่จะช่วยไม่ให้ทีมทำผิดพลาดซ้ำสอง แต่ในสถานการณ์ดังกล่าว สิ่งสำคัญคือคุณต้องพยายามอธิบายโดยไม่ให้ดูเหมือน ว่ากำลังแก้ตัว

 

เมื่อคนชอบแก้ตัวได้รับมอบหมายให้ทำงานบางอย่าง แล้วเกิดความรับผิดพลาด เขามักจะปัดความรับผิดชอบให้คนอื่นรับผิดแทน โดยเขาจะไม่เริ่มต้นด้วยคำว่าขอโทษ แต่เป็นคำกล่าวอ้างอย่างอื่นที่ปฏิเสธความรับผิดชอบออกจากตัวเขา ซึ่งผมไม่ได้ห้ามคุณพูดถึงเหตุผลที่ทำให้ผลลัพธ์ออกมาแย่ นะครับ เพราะถ้าไม่พูดก็คงไม่เกิดการปรับปรุง ทั้งนี้มีเทคนิคเล็กน้อย ที่ช่วยให้คุณอธิบาย สิ่งต่างๆ ได้โดยไม่ดูเป็นการแก้ตัว 

หลังจากที่ได้อธิบายถึงสาเหตุของปัญหาอย่างเป็นกลางแล้ว คุณต้องชี้ให้เห็นถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมด้วย นี่แหละครับคือสิ่งที่แยก “คำอธิบาย” ออกจาก “คำแก้ตัว”

อีกเรื่องที่สำคัญมากก็คือ ระหว่างที่ให้แนวทางการแก้ไขปัญหาแก่ลูกทีม หัวหน้าก็ต้องบอกได้ว่าตัวเองจะทำอะไร เช่น หัวหน้าควรพูดว่า “สาเหตุคือ ต่อจากนี้ไป ผมจึงอยากให้คุณ A กับคุณ B ระวังเรื่องนี้ ส่วนผมเองก็จะคอยช่วยดูด้วย” แต่ถ้าพูดว่า “ที่ผมตั้งใจไว้น่ะ คือแบบนี้ต่างหาก คุณ A กับคุณ B ช่วยระวังด้วยนะครับ” นั่นจะทำให้ดูเหมือนว่าคุณกำลังแก้ตัว แถมยังโยนความรับผิดชอบ ให้คนอื่นอีกต่างหาก

“ไม่มีใครอยากทำงานกับคนที่ชอบปัดสวะให้พ้นตัว หรอกครับ”

ข้อมูลจาก : หนังสือแค่ทำให้คนเก่งขึ้น 1% คุณก็จะทำงานน้อยลง 99% โดย โคโนะ เอตาโร่