แจ็ค หม่า ชื่อนี้การันตีถึงคุณภาพ และความสำเร็จ ดูได้จากเส้นทางธุรกิจที่ก่อตั้งอาลีบาบา ในปี พ.ศ.2542 จนเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของโลก เป็นมาร์เก็ตเพลส B2B ที่ช่วยในการจัดหาสินค้าจากซัพพลายเออร์ทั่วโลก ปัจจุบันธุรกิจได้แตกแขนงออกมาหลายบริการ ไม่ว่าจะเป็น ค้าปลีก อินเทอร์เน็ต และ AI
แม้ว่าอาลีบาบากำลังไปได้ด้วยดีในเส้นทางธุรกิจ และในปี พ.ศ.2542 แจ็ค หม่า ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งซีอีโอ เหลือไว้เพียงแค่ผู้ถือหุ้นเท่านั้น แต่แล้วเขาต้องพบกับจุดพลิกผันของชีวิตเมื่อออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการกำกับดูแลทางด้านการเงินของจีน เลยทำให้ถูกหน่วยงานภาครัฐเรียกมาสอบสวน
เช่นเดียวกับ อาลีบาบา ก็โดนข้อหาพบพฤติกรรมผูกขาดทางการค้าบางอย่าง และโดนปรับเงินมากกว่า 8 หมื่นล้านบาท รวมถึงถูกให้ขายสินทรัพย์บางส่วนออกไป อีกทั้งสำนักงานกำกับดูแลตลาดแห่งชาติจีนได้กำหนดให้ร้านค้า หรือผู้ขาย ป้องกันไม่ให้นำสินค้าไปขายบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ นอกจากนี้ Ant Group ธุรกิจด้านฟินเทคที่แยกตัวออกมาจากอาลีบาบาก็ถูกระงับไม่ให้จดทะเบียนในตลาดหุ้น
เหล่านี้วิเคราะห์กันว่ามาจากที่ แจ๊ค หม่า ออกมาวิพากษ์วิจารณ์หน่วยงานภาครัฐของจีน เปรียบเสมือนกับการลูบคม สร้างความไม่พอใจให้กับผู้มีอำนาจ ซึ่งเรื่องนี้อาจจะเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งเท่านั้น เพราะยังมีเหตุผลอื่น ๆ เช่น นโยบายของรัฐบาลจีน ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เหมือนกัน
หลังจากนั้น แจ็ค หม่า ได้หายไปจากหน้าสื่อเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี และไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน จนกระทั่งมีรูปภาพว่าเขาได้เดินทางย้ายไปอยู่ญี่ปุ่น โดยใช้เวลาส่วนใหญ่พบปะหารือกับนักธุรกิจท้องถิ่น ยิ่งไปกว่านั้น แจ็ค หม่า ยังเดินทางมาประเทศไทย พร้อมกับภารกิจเดินทางร้านอาหาร “เจ๊ไฝ” ย่านประตูผี, ไปดูมวยไทยที่เวทีราชดำเนิน, หารือกับผู้บริหารซีพี
ด้วยความที่แจ็ค หม่า เคยเป็นอาจารย์มาก่อนที่จะผันตัวเข้าสู่วงการธุรกิจ ความปรารถนาที่ยังอยากเป็นอาจารย์สอนหนังสือถ่ายทอดความรู้ให้กับเหล่านักศึกษายังคงไม่จางหายไปไหน โดยแจ็ค หม่า ถูกเชิญให้เข้ามาเป็นศาสตราจารย์รับเชิญที่วิทยาลัยโตเกียวสอนในหัวข้อ “ปรัชญาบริหาร-คนรุ่นใหม่ประสบความสำเร็จได้อย่างไรในอนาคต” ผ่านประสบการณ์อันยาวนานในด้านผู้ประกอบการ และนวัตกรรม
ล่าสุด แจ็ค หม่า ได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ซึ่งทำเกี่ยวกับจำหน่ายอาหารสำเร็จรูป ด้วยเงินลงทุน 10 ล้านหยวน (ประมาณ 50 ล้านบาท) ภายใต้ชื่อว่า “Hangzhou Ma’s Kitchen Food” เป็นที่เรียบร้อย
แน่นอนว่า “แจ็ค หม่า” เป็นคนมีความสามารถ และเขารู้เทรนด์ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นแบบไหน และอาหารประเภทไหนกำลังมา โดยอาหารกึ่งสำเร็จรูปกำลังเป็นที่ต้องการของชาวจีนช่วงอยู่บ้านในช่วงโควิด-19 สอดคล้องกับรายงานของ iiMedia Research ซึ่งคาดการณ์อุตสาหกรรมพร้อมทานในจีนว่า ปี 2565 จะมีมูลค่า 596,100 ล้านหยวน (ประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท) และยิ่งในปี 2567 จะยิ่งเติบโตขึ้นไปอีก มีมูลค่าอยู่ที่ 778,200 ล้านหยวน (ประมาณ 3.8 ล้านล้านบาท)
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลว่าธุรกิจใหม่ของแจ็ค หม่า จะไปได้ด้วยดี นั่นคือข้อมูลจาก instantnoodles ที่ชี้ให้เห็นว่า “จีน” เป็นประเทศที่ชอบกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากที่สุดในโลก คิดเป็น 45,070 ล้านเสิร์ฟ
จะทำอะไรสักอย่าง แจ็ค หม่า คงคิด ศึกษา หาข้อมูลมาเป็นอย่างดีแล้ว นี่แหละที่บอกว่านักธุรกิจมักมองหาโอกาสรอบตัวอยู่เสมอ
ที่มา: businessinsider, scmp
เรื่องที่เกี่ยวข้อง