สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมกับ วิทยาลัยบริหารธุรกิจแฟรงก์เฟิร์ต (Frankfurt School of Finance and Management-FS) ภายใต้การสนับสนุนด้านเงินทุนจากศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (International Development Research Centre-IDRC) ร่วมกันแถลงข่าวการเปิด
โครงการหลักสูตรอบรมการเงินสนับสนุนเพื่อการปรับตัวรับมือกับสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (AFFP)”สำหรับบุคลากรจากภาคนโยบาย ภาคเอกชน และการวิจัย เพื่อร่วมกันพัฒนาศักยภาพของบุคลากรรุ่นใหม่จากประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่
MR.Jonas Fleer ผู้ประสานงานโครงการ AFFP ให้มุมมองระดับโลกว่า ตั้งแต่เริ่มมีการเจรจาตกลงภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) แนวคิดเรื่องการปรับตัวเพื่อรับมือกับภัยอันเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้ทวีความสำคัญและถูกนำมาหยิบยกเป็นประเด็นอยู่เสมอ ในระยะแรกอนุสัญญาฯและพิธีสารเกียวโตต่างมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการบรรเทาความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการสะสมก๊าซเรือนกระจก แม้จะมีงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ที่กำลังประเมินผลกระทบการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศต่อประเทศที่อยู่ในสภาพอ่อนไหวเปราะบาง ตลอดจนความจำเป็นในการปรับตัวของประเทศเหล่านั้น แต่ทัศนะความเห็นส่วนใหญ่ยังคงเน้นความสำคัญเรื่องการลดปัญหาโลกร้อน
อย่างไรก็ตามภายหลังข้อตกลง COP 21 กรุงปารีสในเดือนธันวาคม 2558 ที่ประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ได้บรรลุข้อตกลงที่จะลดอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนยุคปฏิบัติอุตสาหกรรม นานาชาติเริ่มหันมาให้ความสนใจกับประเด็นการปรับตัวรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการเงินสำหรับกิจกรรมการปรับตัว โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาความสามารถของประเทศในการปรับตัวและฟื้นตัวภายหลังที่ประสบวิกฤต และลดระดับความเปราะบางเมื่อภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ดังนั้นนานาชาติจึงตกลงที่จะร่วมมือกันในการสร้างความเข้มแข็งด้านการปรับตัวเพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะโลกร้อนให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นองค์กรต่างๆ ผู้กำหนดนโยบาย ผู้ปฏิบัติงานด้านการปรับตัวรับมือกับภูมิอากาศและบุคคลอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ การเงินเพื่อรับมือกับภูมิอากาศจะช่วยให้สามารถรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศได้ แม้ว่าการประมาณการต้นทุนการปรับตัวจะค่อนข้างยากมากก็ตาม ธนาคารโลกประมาณการว่าประเทศกำลังพัฒนาต้องใช้เงิน $70-100 พันล้านต่อปี จนถึงปี ค.ศ. 2050 เพื่อใช้ในการปรับตัวรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ แต่ในปี พ.ศ. 2554 มีเงินสำหรับการปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของประเทศกำลังพัฒนาเพียง 4.4 พันล้านเหรียญเท่านั้น สิ่งสำคัญจึงควรเร่งดำเนินการลงทุนด้านนี้ให้มากขึ้น โดยให้มีการเร่งระดมทุนจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งภาครัฐและภาคเอกชน มุ่งสู่มุมมองด้านการปรับตัวที่เน้นบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ และเชิงพาณิชย์มากยิ่งขึ้น
ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยความจำเป็นที่ต้องมีการฝึกอบรมการปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เนื่องไทยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ อุณหภูมิโลกพุ่งสูงขึ้นจากอดีต มีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วม ฝนแล้ง พายุหนัก สูงขึ้น ในอนาคตประเทศไทยจะมีพื้นที่ที่อุณหภูมิสูงสุด(และวันที่ร้อนจัด)เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ น้ำท่วมรุนแรงจะมาเร็วขึ้น 18 ปี ผลกระทบด้านต่าง ๆ ของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ได้แก่ การขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค ผลผลิตเกษตรลดลง เพราะน้ำแล้ง/น้ำท่วม น้ำท่วมเมืองใหญ่-อุตสาหกรรม แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติจะหมดเสน่ห์ พื้นที่ชายฝั่งทะเลถูกกัดเซาะ โครงสร้างพื้นฐาน-สาธารณูปโภคเสียหาย
โครงการอบรมนี้เป็นการบูรณการความรู้ในสาขาวิชาการต่างๆและนำบุคคลผู้เกี่ยวข้องทั้งจากภาคนโยบาย ภาคเอกชน นักธุรกิจ และนักวิจัย มาร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้และแสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาของประเทศต่างๆ ผลการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ระหว่างผู้เข้าร่วมอบรมจากประเทศต่างๆจะเป็นการผสานพลังนำไปสู่การคิดเชิงสร้างสรรค์ การผลิตองค์ความรู้ และการพัฒนาโครงการใหม่ๆโดยมีมาตรการทางการเงินเป็นเครื่องจูงใจนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการรับมือกับความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และท้ายที่สุดนี้ผู้เข้าร่วมโครงการจะทำหน้าที่เป็นทูตที่นำความรู้ความเข้าใจอันดีจากการฝึกอบรมวิจัยไปสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับประเทศซึ่งถือเป็นการรับมือในระดับรากฐานของปัญหาความท้าทายระดับโลก
สิ่งที่ผู้ร่วมโครงการจะได้รับคือ เป็นหลักสูตรอบรมออนไลน์ เข้าอบรมฟรีในหลักสูตรของวิทยาลัยบริหารธุรกิจแฟรงก์เฟิร์ต (FS) และได้รับรองประกาศนียบัตร “ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินเพื่อสนับสนุนการปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Certified Expert in Climate Adaptation Finance – CECAF) มีสัมมนาเชิงปฏิบัติการเชิงวิชาการ เพื่อเชื่อมโยง แบ่งปันประสบการณ์และแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนร่วมโครงการและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วทุกมุมโลกด้วยสัมมนาและหลักสูตรในหลายรูปแบบทั้งที่จัดขึ้นที่แฟรงก์เฟิร์ต และกรุงเทพฯ รวมทั้งสัมมนาออนไลน์ ที่สำคัญเป็นหลักสูตรพิเศษ รับคำปรึกษา และเต็มอิ่มกับเนื้อหาเข้มข้นสอนโดยคณาจารย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านชื่อดังระดับนานาชาติ รวมถึงประโยชน์อื่น ๆ ที่จะได้รับ ความก้าวหน้าในสายอาชีพ และที่สำคัญ เครือข่ายและความสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าร่วมอบรมจะสร้างเครือข่ายทูตและผู้นำด้านการปรับตัวเพื่อรับมือกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงในระดับโลก
สำหรับประเทศไทยโครงการนี้มีระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี จัดอบรม 2 รุ่น รุ่นละ 18 คน โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ด้านนโยบาย 6 คน ด้านธุรกิจ 6 คน และด้านวิจัย 6 คน ปัจจุบันกำลังจะเปิดปฐมนิเทศรุ่นที่ 1 ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2560 ที่ประเทศเยอรมนี สำหรับผู้สนใจรุ่นต่อไปสามารถดูรายละเอียดการรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ของ วิทยาลัยบริหารธุรกิจแฟรงก์เฟิร์ต คือ http://www.frankfurt-school.de/affp/en.html