นิสัยแย่ๆ ของเพื่อนร่วมงานสุดยี้ ที่ทำให้ทีมเวิร์ค ชักเริ่มจะ “ไม่เวิร์ค”


ในสังคมของการทำงาน ออฟฟิศ เป็นสถานที่ที่เราใช้ชีวิตอยู่แทบจะมากกว่าบ้าน (ไม่นับบรรดาผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการ) ซึ่งลูกจ้างทั่วไปอย่างน้อยๆ ก็ 8 ชั่วโมงขึ้นไปใน 5 วันต่อ 1 สัปดาห์ สำหรับคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ใช้ความรู้ความสามารถที่มีทำหน้าที่การงานแลกกับการได้เงินในทุกๆ เดือน ถือเป็นช่วงเวลาพอสมควรเลยทีเดียวที่เราต้องอยู่กับคนหลายคน หลายประเภท หลายแบบ จนรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

เมื่อคนหลายคน มากหน้าหลายตามาอยู่รวมกัน สังคมเล็กๆ ที่เรียกว่า “ทีมงาน” จึงถูกแบ่งออกเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหา และนำมาซึ่งคำว่า “ทีมเวิร์ค” ที่ทำด้วยกันแล้วมัน เวิร์ค แต่หากเกิดกรณีที่ทีมเริ่มเกิดจะ “ไม่เวิร์ค” แต่จะให้แยกย้ายกันไป ก็ติดที่ภาระหน้าที่ที่มี แล้วทีนี้คนในทีมจะทำอย่างไร?

ลองมาดูปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นของการทำงานร่วมกันพร้อมทางออกของปัญหาเหล่านั้นกันดีกว่า เพื่อรักษาทีมไว้ไม่ให้ต้อง “ตายหมู่”

 

 

“ลา” เป็นนิสัย

ปัญหา : จริงอยู่ว่า การทำงานในฐานะลูกจ้างจะมีความคุ้มครอง มีสิทธิต่างๆ ให้ขาดลามาสายได้ตามที่กำหนดไว้ในแต่ละปี แต่นั่นย่อมหมายถึงหยุดได้ตามความจำเป็น เช่นลาป่วย, ลากิจ, ลาพักร้อน แต่ไม่ได้มีข้อบังคับว่าต้องใช้จนหมด ไม่หมดโดนปรับเสียเมื่อไหร่ ซึ่งในทีมมักจะประกอบไปด้วย มนุษย์รู้งานบางคนที่ชอบความคุ้มค่า มีสิทธิต้องคุ้ม เราพูดถึงคนที่ลาบ่อยมากจริงๆ ลาจนเพื่อนๆ ในทีมอ่อนใจ แถมเอือมระอาก็ได้แต่ส่ายหน้านิดๆ แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

ยิ่งเป็นกรณีที่มีทีมเล็กๆ ที่มีคนไม่กี่คน หากคนหนึ่งลางาน คนที่เหลือแม้จะมีธุระก็อาจจะต้องอยู่เพื่อรับผิดชอบงานแทน เป็นต้น

การแก้ไข : เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน เพราะคนป่วยการเมือง มักมาพร้อมข้ออ้างสารพัด ถ้านานๆ ทีมีธุระปะปังบ้าง เจ็บป่วยกันบ้าง อยากผ่อนคลายบ้าง ก็ไม่ส่งผลกระทบคนในทีมเท่าไหร่และคงไม่มีใครว่ากัน แต่ถ้าจะลาหลายๆ ครั้ง หรือทุกครั้งที่เป็นวันสุดสัปดาห์ ทุกโอกาสที่มี แบบนี้คนในทีมควรมาจับเข่าคุยกันแล้วล่ะค่ะ

เพราะในแต่ละวันการทำงานอาจจะมีงานแทรก หรือมีการประชุมทีมเพื่อขอความคิดเห็นเพื่อพัฒนางานให้ก้าวหน้าร่วมกัน ซึ่งหากจะใช้เหตุผลที่ว่าถึงลาแต่ทำงานที่รับผิดชอบตามที่ได้รับมอบหมายไว้แล้ว หรืออยู่ที่ไหนก็ทำได้ การผันตัวเป็นฟรีแลนซ์ของคนขยัน (ลา) อาจจะตอบโจทย์มากกว่าการทำงานร่วมกันเป็นทีมก็เป็นได้ ทางที่ดีลองเปิดใจคุยกันอาจจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับทุกคน

 

 

ช่างเจรจาพาที

ปัญหา : ในทีนี้ เราไม่ได้พูดถึงคนอัธยาศัยดี หรือมีหน้าที่ที่ต้องเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์ แต่เป็นมนุษย์ธุระเยอะ ต้องคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา เรียกได้ว่าคุยทั้งวัน นั่งทำงานแปบๆ เป็นต้องมีสายเข้าเดินออกไปคุย วนเวียนอยู่แบบนี้ แล้วจะมีสมาธิทำงานให้ออกมาดี ได้อย่างไร ไม่ใช่แค่ตัวเองบางครั้งอาจจะสร้างความรำคาญใจให้เพื่อนร่วมงานไปด้วย

การแก้ไข : เรื่องนี้อาจจะแก้ยากสักหน่อยเพราะค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัวที่คนทำต้องคิดได้เอง บางคนอาจจะคิดว่าก็ในเมื่อลุกออกไปคุยข้างนอกแล้วสร้างปัญหาตรงไหน แต่ความจริงแล้วในเวลางานการเอาแต่พูดคุยในเรื่องส่วนตัวในเวลางานอาจจะทำให้ติดเป็นนิสัยที่เคยชินและส่งผลต่องานที่รับผิดชอบได้ หากแยกเวลาคุยเรื่องส่วนตัวเป็นช่วงพักและให้ความสำคัญกับงานที่ทำอย่างเต็มที่น่าจะดีกว่า ที่สำคัญยังทำให้งานออกมาดีมากกว่าอีกด้วย 

 

 

เอะอะก็โยนความผิด

ปัญหา : ลักษณะนิสัยของคนชอบเอาเปรียบ คือมักจะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว การแสดงออกต่อหน้าและลับหลังจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็มักจะพูดเอาดีใส่ตัว ส่วนความมั่วก็จะยกให้คนอื่นโดยที่ไม่สนใจสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพราะคิดว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่มีใครฉันก็อยู่ได้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องแคร์ใคร…ขอแค่ให้ได้ดูดีเมื่อพูดหรือพรีเซนต์ออกมาเป็นพอเพื่อให้รอดตายไปวันๆ 

การแก้ไข : ถ้าจำเป็นต้องร่วมงานด้วยจริงๆ เพื่อนในทีมอาจจะต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะไม่รู้ว่าจะโดนแทงข้างหลังเอาเมื่อไหร่ ซึ่งสิ่งที่ทำได้ อาจจะเป็นเพิ่มความรอบคอบของเราเอง เพิ่มความชัดเจนในการทำงานร่วมกันเช่นอาจจะใช้วิธีรัดกุมทำอะไรตาม Flow งาน ตามขั้นตอนเพื่อให้มีหลักฐานการทำงาน ไม่ให้ใครโยนความผิดมาให้เราได้ พูดง่ายๆ คือ ต้องมีสติให้มั่นไว้รับมือให้ทันนั่นเองค่ะ

 

 

ความเกรงใจบกพร่อง

สิ่งที่เป็นคุณสมบัติหนึ่งของสังคม ที่ผู้อยู่ร่วมกันควรพึงระลึกไว้เสมอนั่นคือเรื่องของ “ความเกรงใจ” ซึ่งยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ออฟฟิศคุณน่าอยู่มากเท่านั้น แต่ก็มักจะมีคนบางประเภทที่ชอบทำอะไรสุดๆ ไปเลย เช่น พูดจาเสียงดัง หัวเราะเสียงดัง เหมือนต้องการให้โลกรู้ว่า….นี่แหล่ะ คนทำงานตัวจริง ซึ่งโดยทั่วไป คนทำมักจะไม่พูด ซึ่งคนเอาแต่พูดมักจะไม่ค่อยทำเป็นส่วนใหญ่

การแก้ไข : คนประเภทนี้ หากใช้วิธีพูดกันตรงๆ อาจจะเกิดอารมณ์ขุ่นมัว บาดหมางใจไปจนถึงขั้นมองหน้ากันไม่ติดเพราะถ้าเขาคิดได้คงไม่ทำให้ใครรำคาญใจ ซึ่งหากต้องเจอเพื่อนร่วมงานแบบนี้อาจจะต้องใช้วิธีตั้งจิต สมาธิ มองบวก (ไม่ใช่เข้าไปบวกนะคะ) มองโลกสวยเวอร์ ดำดิ่งให้ถึงทุ่งลาเวนเดอร์ไปเลยว่าเขาอาจจะอยากเป็นศูนย์กลางจักรวาล ชอบให้ใครๆ มารุมสนใจ ขั้นตอนต่อมาคือลองซื้อหาหูฟังดีๆ ติดโต๊ะทำงานเอาไว้ ซาวน์รบกวนมาเมื่อไหร่หยิบหูฟังให้มั่นแล้วเสียบหูไว้ เลือกเพลงที่ถูกใจพร้อมเอาสติตั้งมั่นที่เสียงเพลงสุดโปรด จะช่วยให้เราทำงานที่รับผิดชอบอยู่ให้ลุล่วงไปได้อย่างราบรื่น ไม่มากก็น้อยค่ะ

 

 

แต่เดี๋ยวก่อน… ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ตัวเองว่า เราเองหรือเปล่าที่เผลอทำให้ใครไม่สบายใจเพราะนิสัยแย่ๆ บางอย่างแบบไม่ตั้งใจ ลองสำรวจตัวเองดีๆ นะคะ แต่ถ้าดูแล้วไม่น่าจะมีอะไร ให้คุณชมตัวเองในใจพร้อมขอบคุณที่เราไม่สร้าง มลภาวะเป็นพิษ ให้กับสังคมที่ทำงานและเพื่อนร่วมงานของเราค่ะ… ^^