รู้จัก “ฉลากเขียว” เครื่องหมายช่วยสะท้อนความยั่งยืนของแบรนด์ต่อสิ่งแวดล้อม
ฉลากเขียวของประเทศไทย ริเริ่มขึ้นโดยองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Thailand Business Council for Sustainable Development, TBCSD)
1.สินค้าต้องมีหลากหมวดหมู่
การเลือกสินค้าเพื่อครอบคลุมทุกความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เป็นประเด็นสำคัญ เช่น ของเล่นเด็ก,เครื่องเขียนนักเรียนนักศึกษา,กิ๊ฟช็อป(วัยรุ่น วัยทำงาน),เครื่องครัว เป็นต้น แต่ละส่วนปริมาณสินค้าจะแตกต่างกันไป โดยคำนึงถึงว่าลูกค้าเป้าหมายในพื้นที่เป็นกลุ่มใด ก็ให้น้ำหนักในการเลือกซื้อสินค้าที่ตอบสนองกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มนั้น
ยกตัวอย่างเช่น หากละแวกร้านค้านั้นกลุ่มลูกค้าหลักเป็นแม่บ้าน ก็ต้องหาสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันมาเติมเต็มในร้าน สินค้าที่ขายดีเป็นจำพวก ตะกร้า ทัพพี ที่หนีบผ้า ไม้แขวนเสื้อ หรือ หากเป็นกลุ่มลูกค้านักเรียน นักศึกษา สินค้าที่ขายดีก็จะเป็นจำพวก เครื่องเขียน กิ๊ฟช็อป สินค้าลิขสิทธิ์ เครื่องสำอาง
2.สินค้าต้องมีหลายแบบให้เลือก
สินค้า 1 ชนิด ควรคัดสรรสินค้าที่หลากหลายแบบมาให้ลูกค้าได้เลือกชม เลือกซื้อ เช่น กระเป๋าที่มีหลายสีหลายแบบคละกันไปหรือมีสินค้าหลายยี่ห้อให้ลูกค้าเลือก ยางลบรูปการ์ตูนน่ารักๆเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า โดยเจ้าของร้านราคาเดียวจะต้องหมั่นติดตามเทรนด์ ว่าช่วงนี้สินค้าตัวไหนขายดี สินค้าตัวไหนกำลังมาแรงและได้รับความนิยมของผู้บริโภคก็พยายามจัดหามาให้ลูกค้า
เทคนิคการเติมสินค้า กรณีสินค้ายางลบมี 20 แบบ แต่ควรโชว์ขายในร้านแค่ 2-3 แบบเท่านั้น แล้วค่อยเอาแบบใหม่มาเติม ไม่ควรลงสินค้าที่เดียว 20 แบบ เพราะพฤติกรรมของลูกค้ามักจะชอบแวะเข้ามาร้านค้าราคาเดียว หากเจอสินค้าซ้ำๆเดิมๆก็จะเกิดอาการเบื่อและจะถามหาแบบใหม่ๆอย่างไม่สิ้นสุด ฉะนั้นการทยอยนำสินค้าขึ้นชั้นวางจะทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนร้านค้ามีสินค้าใหม่ตลอดเวลา
3.สินค้าต้องมีขนาดย่อมเยา
การเลือกสินค้าเข้ามาขายควรดูพฤติกรรมของผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่และลักษณะการใช้งานสินค้า ประกอบด้วย เช่น หากเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ลูกค้าต้องกลับมาซื้อใช้ใหม่ หรือ ขนาดสินค้าควรมีหลายขนาดไม่ควรมีแค่ขนาดเดียว นอกจากจะช่วยประหยัดพื้นที่ภายในร้านแล้วยังเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาที่ร้านเพื่อซื้อสินค้าชนิดนั้นซ้ำบ่อยๆ รวมทั้งสินค้าตัวอื่นด้วย
4.สินค้าต้องมีสภาพดี สินค้าต้องมีคุณภาพ
สินค้าภายในร้านมีสภาพดีไม่แตกหัก เสียหาย บรรจุอยู่ในหีบห่อที่ดูดี ฝุ่นไม่จับ ซองไม่ฉีกขาด แม้จะเป็นสินค้าราคาไม่แพง แต่ก็ควรดูแลให้สินค้าดูแล้วน่าซื้อ น่าใช้และเมื่อซื้อไปแล้วต้องใช้งานได้จริง ที่สำคัญสินค้าสามารถขายตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพนักงานมาคอยอธิบายถึงคุณสมบัติของสินค้า เพียงแต่ผู้ประกอบการจะต้องหมั่นเติมสินค้าใหม่ๆหรือพลิกแพลงเทคนิควิธีการขาย เพื่อให้สินค้าขายได้หมดทุกตัว
คลิก คลิก คลิกเลย !! http://www.smartsme.tv/news-detail.php?id=524