สายกินระวัง! “ไข่แมงดาถ้วย” พิษร้าย! อันตรายถึงชีวิต


กรมประมงเตือน! สั่ง “ไข่แมงดา” ระวังเจอไข่แมงดาถ้วย! “เห-รา” มีพิษแรง อันตรายถึงชีวิต ผวา! พบมีขายทางออนไลน์

ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า จากรายงานของกระทรวงสารณสุขพบว่ามีผู้ป่วยอาหารเป็นพิษจากการรับประทานไข่แมงดาทะเลระหว่างปี 2556 – 2562 จำนวน 33 ราย เสียชีวิต 3 ราย โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากประชาชนผู้บริโภคขาดความรู้เรื่องพิษของแมงดาทะเล สำหรับแมงดาทะเลในน่านน้ำไทยมีอยู่ 2 ชนิด คือ

1.แมงดาจาน หรือแมงดาทะเลหางเหลี่ยม ไม่มีพิษ รับประทานได้ ลำตัวมีขนาดใหญ่กว่าแมงดาถ้วย พื้นผิวด้านบนเรียบ มีสีน้ำตาลอมเขียว มีหางเหลี่ยม มีสันและหนามเรียงกันเป็นแถวคล้ายฟันเลื่อย พบอาศัยอยู่ตามพื้นทะเล วางไข่ตามริมชายฝั่งที่เป็นดินทราย

2.แมงดาถ้วย หรือแมงดาทะเลหางกลม หรือเห-รา หรือแมงดาไฟ มีพิษ รับประทานไม่ได้ ลำตัวโค้งกลม มีหางกลม ผิวด้านบนมีขนสั้น สีน้ำตาลอมแดง ต่อจากส่วนท้องมีหางค่อนข้างกลมไม่มีสันและไม่มีหนาม พบอาศัยอยู่ตามพื้นทะเลที่เป็นดินโคลนและตามคลองในป่าชายเลน

 

 

โดยฝั่งอ่าวไทยจะพบแมงดาทั้งสองชนิดนี้มากที่สุดตามพื้นที่แนวชายฝั่งของทะเลตั้งแต่ จังหวัด จันทบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ตลอดไปจนถึงชุมพรและฝั่งทะเลอันดามันตั้งแต่สตูลไปจนถึงระนอง

จากข้อมูลทางวิชาการพบว่า สารพิษที่พบอยู่ในเนื้อและไข่ของแมงดาถ้วยคือสารเทโทรโดท็อกซิน (tetrodotoxin) และซาซิท็อกซิน (saxitoxin) ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับที่พบในปลาปักเป้า เป็นสารที่ส่งผลต่อระบบควบคุมการหายใจถึงขั้นเสียชีวิต

พิษในแมงดาถ้วยเกิดจาก 2 สาเหตุหลักๆ คือ

1.แมงดากินแพลงก์ตอนที่มีพิษ หรือกินสัตว์ทะเลอื่นๆ ที่กินแพลงก์ตอนพิษเข้าไปทำให้สารพิษไปสะสมอยู่ในเนื้อและไข่ของแมงดา

2.เกิดจากแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างพิษขึ้นมาได้เอง หรือสาเหตุประกอบกันทั้งสอง

ที่สำคัญสารพิษทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นสารที่ทนต่อความร้อนได้ดี การปรุงอาหารด้วยความร้อนวิธีต่างๆ เช่น ต้ม ทอด หรืออบเป็นเวลานานมากกว่าชั่วโมงไม่สามารถทำลายสารพิษชนิดนี้ได้ ประชาชนจึงไม่ควรนำมาบริโภคอย่างเด็ดขาด

 

สำหรับผู้ได้รับพิษจากแมงดาทะเล อาการมักจะแสดงภายหลังรับประทานประมาณ 10 – 45 นาที หรืออาจช้าไปจนถึง 3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับแหล่งที่อยู่อาศัยของแมงดา ฤดูกาล จำนวนที่รับประทาน หรือปริมาณของสารพิษที่ได้รับ เช่น รับประทานไข่แมงดาถ้วย อาการพิษจะเกิดรุนแรงกว่ารับประทานเฉพาะเนื้อ อาการมักเริ่มจากมึนงง รู้สึกชาบริเวณลิ้น ปาก ปลายมือ ปลายเท้าและมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง เริ่มจาก มือ แขน ขา ตามลำดับ

รวมทั้งอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย บางราย อาจมีน้ำลายฟูมปาก เหงื่อออกมาก พูดลำบาก ตามองเห็นภาพไม่ชัด ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก จะมีผลทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง หายใจลำบากเนื่องจากกล้ามเนื้อกระบังลมไม่ทำงาน ระบบหายใจล้มเหลว หมดสติ และสมองขาดออกซิเจนหากช่วยไม่ทันอาจเสียชีวิตได้ภายใน 6 – 24 ชั่วโมง

สำหรับวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากได้รับพิษ ให้ผู้ปฐมพยาบาลทำให้ผู้ป่วยหายใจคล่องที่สุด และรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด หากผู้ป่วยหยุดหายใจ ให้ทำการผายปอดจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล ห้ามให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารน้ำหรือยา เนื่องจากผู้ป่วยอาจเกิดอาการสำลักได้

ดร.วิชาญ กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า ปัจจุบันมีผู้ค้าสินค้าสัตว์น้ำบางรายเปิดขายไข่แมงดาทะเลผ่านทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งพบว่าเป็นการขายไข่แมงดาถ้วยซึ่งเป็นแมงดาชนิดที่มีพิษ โดยอ้างว่าได้ผ่านกรรมวิธีกำจัดพิษ (เส้นเมา) ในเนื้อแมงดาทะเลออกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งความจริงแมงดาถ้วยมีพิษอยู่ที่ทางเดินอาหารและไข่และไม่สามารถกำจัดพิษออกได้โดยง่าย

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนขอแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแมงดาทะเล แต่หากต้องการรับประทานขอให้เลือก แมงดาจาน โดยให้สังเกตลักษณะของหางตามที่กล่าวข้างต้น และงดรับประทานไข่แมงดาทะเลที่อยู่ในลักษณะบรรจุหีบห่อโดยไม่เห็นตัวและหางของแมงดาโดยเด็ดขาด เพราะเราไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าเป็นแมงดาชนิดไหน หรืออาจมีไข่แมงดาถ้วยปะปนอยู่ในไข่แมงดาจานหรือไม่

สำหรับพ่อค้าแม่ค้า ขอให้ท่านงดจำหน่ายไข่แมงดาทะเลหากไม่แน่ใจว่าเป็นไข่ที่มาจากแมงดาชนิดใดและขอให้เพิ่มความระมัดระวังในการแยกชนิดพันธุ์แมงดาทั้ง 2 ชนิดจากลักษณะภายนอกให้แน่ชัดก่อนนำมาขายให้ผู้บริโภค หากพบแมงดาถ้วยหรือเหราปะปนเข้ามาให้คัดทิ้งทันที

กรณีหากไม่สามารถแยกความแตกต่างของแมงดาทั้ง 2 สายพันธุ์นี้ได้ สอบถามข้อมูลทางวิชาการเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานประมงจังหวัดใกล้บ้านท่าน หรือ กรมประมง โทร. 0-2562-0600