ก.พาณิชย์ ก.คลัง และส.ธนาคารไทย ร่วมหารือมาตรการผลักดันเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนโดยใช้ประโยชน์ของ กม.หลักประกันธุรกิจ เตรียมดึง บสย.ช่วยค้ำประกันสินเชื่อ จูงใจแบงก์พาณิชย์กล้าอนุมัติมากยิ่งขึ้น ด้าน “อภิรดี” ยอมรับผู้เกี่ยวข้องยังไม่เข้าใจรายละเอียด จี้หน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งเดินสายชี้แจงข้อมูล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า 3 หน่วยงาน ประกอบด้วยกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย ได้หารือร่วมกันถึงแนวทางผลักดันให้เอสเอ็มอีสามารถใช้ประโยชน์จาก “พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558” ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา เพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเบื้องต้น เห็นควรเชิญ “บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม” (บสย.) มาช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนกฎหมายดังกล่าว ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงินเอกชนต่างๆ ในการอนุมัติสินเชื่อแก่เอสเอ็มอี เนื่องจากสถาบันการเงินไม่อยากรับความเสี่ยงในการนำทรัพย์สินประเภทกิจการหรือทรัพย์สินทางปัญญามาใช้เป็นหลักประกันการชำระหนี้
“กระทรวงพาณิชย์หวังว่า หลังจากที่ บสย. เข้ามาช่วยทำหน้าที่ค้ำประกัน จะทำให้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และจะช่วยให้สถาบันการเงิน ผ่อนปรนการพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอีง่ายขึ้นกรณีที่ใช้หลักทรัพย์ชนิดใหม่ค้ำประกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการหารือความเป็นไปได้ในรูปแบบของการค้ำประกัน” นางอภิรดี กล่าว
นอกจากนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานพันธมิตร จะต้องบูรณาการความร่วมมือและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันให้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจบรรลุตามวัตถุประสงค์ช่วยให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้โดยตรง และง่ายยิ่งขึ้น
“ยอมรับว่า คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง ที่จะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเอสเอ็มอี สถาบันการเงิน และผู้บังคับหลักประกัน มีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายฉบับนี้ และพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยได้มอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกส่วน เดินสายสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้เสียทั่วประเทศ เพื่อให้รับรู้รับทราบถึงรายละเอียดให้ได้มากที่สุด” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าปัจจุบันกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีระบบการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจที่มีความสะดวก รวดเร็ว แบบเรียลไทม์ (Real Time) สามารถยื่นขอจดทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ และขณะนี้ได้พัฒนาระบบให้สามารถรับชำระเงินค่าธรรมเนียมผ่านระบบ e-payment ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกในการขอจดทะเบียนฯ มากยิ่งขึ้น อีกทั้งมีระบบตรวจเช็คข้อมูลสัญญาหลักประกันทางธุรกิจได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการและระบบเศรษฐกิจมากที่สุด และเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการด้านการให้บริการข้อมูลการจดทะเบียนฯ และข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้บังคับหลักประกัน โดยคาดว่าจะสามารถให้บริการได้อย่างสมบูรณ์ในเดือนพฤษภาคม 2560 นี้
สำหรับพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา เป็นกฎหมายที่ช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เพิ่มมากขึ้น โดยสามารถนำทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ในการประกอบกิจการมาใช้เป็นหลักประกันการชำระหนี้ได้ โดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สินและสามารถใช้ทรัพย์สินนั้นไปผลิตเป็นสินค้าหรือบริการเพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มได้
ทั้งนี้ จนถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560) มีธุรกิจเอสเอ็มอียื่นคำขอจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ รวม118,887คำขอ มูลค่าทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกัน 1,688,534 ล้านบาท โดยสิทธิเรียกร้องประเภทบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 57.61 (มูลค่า 972,776 ล้านบาท) รองลงมาคือ สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น สินค้าคงคลัง วัตถุดิบ เครื่องจักร รถยนต์ เรือ เครื่องบิน คิดเป็นร้อยละ 21.66 (มูลค่า 365,741 ล้านบาท) และสิทธิเรียกร้องประเภทอื่นๆ เช่น ลูกหนี้การค้า สัญญาจ้าง สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าซื้อ คิดเป็นร้อยละ 17.12 (มูลค่า 289,157 ล้านบาท)