“ท็อปส์” เปิดตัว “GI Corner” ติดปีกสุดยอดสินค้าเกษตรขยายตลาด


“ท็อปส์” ผุด “GI Corner”  มุมขายสุดยอดสินค้าเด่นจากเกษตรกรทั่วไทยขายในห้างเซ็นทรัล ประเดิม 2 แห่งแรก ณ สาขาแจ้งวัฒนะและชิดลม วันที่20 มี.ค.นี้  ตั้งเป้า เปิดครบ100 สาขาในสิ้นปี

น.ส.เมทินี พิศุทธิ์สินธพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายจัดซื้อกลุ่มสินค้าอาหารสดและบริหารจัดซื้อ บริษัทเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ผู้บริหารร้านเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ท็อปส์ มาร์เก็ต ท็อปส์ซูเปอร์สโตร์ เป็นต้น เปิดเผยว่าบริษัทวางกลยุทธ์ ผลักดันให้เกษตรกรและชุมชนผู้ผลิตสามารถขึ้นทะเบียนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์(จีโอกราฟฟิก อินดอเคชัน) หรือ จีไอโดยนำสินค้าจีไอ มาวางจำหน่ายในร้านในมุม “จีไอ คอร์เนอร์” นำร่อง 2 สาขาแรก คือ ท็อปส์ มาร์เก็ต ศูนย์การค้าเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลชิดลม เปิดตัว 20 มี.ค.นี้

สำหรับพื้นที่จำหน่ายสินค้าจีไอ ดังกล่าวจะมีขนาดแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสาขา และประเภทสินค้าจีไอจากทั่วประเทศที่นำมาวางจำหน่าย เบื้องต้นเป็นกลุ่มสินค้าอาหารสดและแห้งกว่า 29 รายการ เช่น ไข่เค็มไชยา มะขามหวานเพชรบูรณ์ กาแฟดอยตุง เป็นต้น และภายในสิ้นปีนี้ จะขยายถึง 33 รายการ ซึ่งถือว่าครอบคลุมสินค้าอาหารจีไอทั้งหมดที่จดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์  พร้อมวางแผนการตลาดเน้นให้ผู้บริโภคได้รู้จักและเห็นคุณค่าของสินค้าจีไอ มากขึ้น  โดยสิ้นปีนี้วางเป้านำสินค้าจีไอเข้าวางจำหน่ายได้ 100 สาขา          

ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าเกษตรและชุมชน ด้วยการเข้าไปช่วยพัฒนาคุณภาพ และรับซื้อตรงจากเกษตรกร นำมาขายตรงในช่องทางต่างๆ ของท็อปส์ ปัจจุบันมีรวมกว่า 226 สาขาโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง  ภายใต้โครงการ ท็อปส์เพื่อเกษตรกรไทย ร่วมใจประชารัฐ ที่ทำมาต่อเนื่องเป็นปีที่2   

ขณะที่แนวทางการในปีนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นมุ่งเชิงลึกและขยายผลในวงกว้าง เช่น จัดตั้งทีมจัดซื้อภูมิภาค เพื่อแสวงหาช้างเผือกหรือเกษตรกรหน้าใหม่ในระดับตำบลหรืออำเภอที่กระจายตัวกันอยู่ทั่วประเทศ พร้อมผลักดันให้ผู้ผลิตสินค้าจีไอ สามารถขึ้นทะเบียนสินค้า เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและโอกาสในการขาย โดยการเข้าไปค้นหาสินค้าจากชุมชนต่างๆ จะประสานกับหน่วยงานราชการท้องถิ่น พร้อมส่งทีมงานเข้าไปช่วยพัฒนาทุกด้าน เช่น มาตรฐานการผลิต บรรจุภัณฑ์ และแปรรูป ฯลฯ  โดยให้งบประมาณสนับสนุนกลุ่มชุมชนเฉลี่ยแห่งละประมาณ 2 ล้านบาท 

น.ส.เมทินี  เผยด้วยว่า  บริษัทฯ จะได้รับประโยชน์ คือ มีสินค้าดีเด่นจากเกษตรกรมาบริการขายให้แก่ลูกค้าทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน ยังมีส่วนช่วยสร้างรายได้กลับเข้าสู่ชุมชน ทำให้เกษตรกรและชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งจากแนวทางดังกล่าว บริษัทวางเป้าหมายในปีนี้  จะขยายการส่งเสริมเกษตรกรและชุมชนเพิ่มเป็น 645 ราย แบ่งออกเป็น 135 ชุมชน 320 โอท็อป และ 190 เอสเอ็มอี