‘พาณิชย์’ ถกบิ๊กเอกชน จี้โอทอปยกระดับตอบโจทย์ตลาด


กรมพัฒน์หารือร่วมเอกชนรายใหญ่ของประเทศ วางแนวทางยกระดับและขยายช่องทางตลาดให้โอทอป  ชี้ประเด็นสำคัญต้องเร่งพัฒนารูปแบบสินค้าให้ตรงใจตลาดมากยิ่งขึ้น มุ่งสร้างมาตรฐานและคุณภาพ พร้อมกำลังผลิตแน่นอน รวมถึงผลิตตามความต้องการตลาดอย่าตามใจตัวเอง ขณะที่กลุ่มยอดเยี่ยมอยู่แล้วต้องต่อยอดให้โกอินเตอร์

 

นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือการพัฒนายกระดับผลิตภัณฑ์และขยายช่องทางตลาดโอทอปตามแนวทางประชารัฐ ว่า นางอภิรดี ตันตราภรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มอบหมายให้กรมฯ ประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนในการส่งเสริมและผลักดันสินค้าโอทอปของไทยให้เป็นที่รู้จัก พร้อมขยายช่องทางการตลาดให้มีความหลากหลายเพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด

 ดังนั้น ทางกรมฯ  จึงได้เชิญภาคเอกชนรายใหญ่ของประเทศ จำนวน 24 หน่วยงาน 51 ราย ประกอบด้วย กลุ่ม Buyer / Trader / User จำนวน 14 บริษัท ได้แก่ 1) กลุ่มเซ็นทรัล 2) การบินไทย 3) คิงพาวเวอร์ 4) ซีพี ออลล์ 5) เซ็นทรัล ฟู๊ด รีเทล 6) เดอะมอลล์ กรุ๊ป 7) ตำรับไทยสมุนไพร 8) นารายภัณฑ์ 9) บางจากปิโตรเลียม 10) บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ 11) สยามเจมส์ กรุ๊ป 12) สยามพิวรรธน์ 13) เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม 14) เอสซีจี แพคเกจจิ้ง และผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดผลิตภัณฑ์ จำนวน 10 หน่วยงาน ได้แก่ 1) ศูนย์อบรมแพ็ทเทิร์นอุตสาหกรรม แพทเทิร์นไอที 2) สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย 3) สมาคมของขวัญของชำร่วยไทยและของตกแต่งบ้าน 4) สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย 5) สมาคมทีวีโฮมช้อปปิ้ง (ประเทศไทย) 6) สมาคมผู้ประกอบการสปาไทย 7) สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป 8) สมาคมสปาไทย 9) สมาคมสินค้าตกแต่งบ้าน และ 10) สมาคมออกแบบสร้างสรรค์ มาร่วมหารือเพื่อรับฟังความคิดเห็นแนวทางการพัฒนาตลาดผลิตภัณฑ์โอทอป รวมทั้งปัญหาของสินค้าโอทอปจากมุมมองของผู้ประกอบการและภาคเอกชน

ทั้งนี้  ประเด็นที่ภาคเอกชนเสนอแนะ  คือ  1) สินค้าโอทอปของไทยควรจะมีการพัฒนาให้มีรูปแบบเป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้นโดยต้องเน้นเรื่องคุณภาพมาตรฐานของสินค้าเป็นหลัก 2) การผลิตสินค้าต้องมีความต่อเนื่อง เนื่องจากบางครั้งเมื่อสินค้าเริ่มติดตลาดและผู้บริโภคมีความต้องการมากขึ้น ผู้ผลิตไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันตามความต้องการของผู้บริโภค ทำให้สินค้านั้นอาจสูญเสียตลาดและลูกค้าในอนาคตได้  3) ผู้ผลิตต้องมีความเข้าใจในกลไกตลาดเป็นอย่างดี  โดยผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก และต้องประยุกต์ให้เข้ากับกระแสสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ผลิตสินค้าตามใจตัวเอง และ 4) ผู้ผลิตต้องสร้างวิสัยทัศน์ของความเป็นผู้ประกอบการที่พร้อมจะพัฒนา   และมีความเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ โอทอปไทยควรได้รับการพัฒนายกระดับอย่างต่อเนื่อง กลุ่มโอทอป 1-2 ดาว ควรยกระดับเข้าสู่ 3-5 ดาว และ โอทอประดับ 3-5 ดาว ก็ควรยกระดับสู่การส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งภาคเอกชนยินดีให้ความร่วมมือที่จะพัฒนาผู้ผลิตให้มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับ และช่วยขยายช่องทางการตลาดสินค้าโอทอปให้เข้าถึงผู้บริโภคได้โดยง่าย

นางสาวบรรจงจิตต์  ระบุด้วยว่า กรมฯ จะนำความเห็นและข้อเสนอแนะของภาคเอกชนมาปรับแนวทางการพัฒนาสินค้าโอทอปของไทยและช่องทางการตลาดให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค โดยได้กำหนดแผนงานสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนไว้แล้ว  

เบื้องต้นกรมฯ ได้คัดเลือกผลิตภัณฑ์โอทอปจากกลุ่มโอทอป 3-5 ดาว ปี 2559 โดยให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ คัดสรรกลุ่มผลิตภัณฑ์โอทอปที่ได้มาตรฐานตามกฎระเบียบทางราชการ ผู้ผลิต/ผู้ประกอบการที่มีความพร้อมในการผลิตและความมุ่งมั่นที่จะรับการพัฒนา จำนวน 2,380 ราย จาก 8,039 ราย  เข้าสู่การคัดสรรสู่ Best OTOP 77 Experience  อีกทั้ง นำร่องการพัฒนาการตลาดและให้เข้าถึงตลาดอย่างยั่งยืน โดยจะมีการเจรจาจับคู่ธุรกิจกับช่องทางการตลาดทั้ง ออฟไลน์ ห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านค้าส่ง-ค้าปลีก ร้านจำหน่ายของที่ระลึก สนามบิน แหล่งท่องเที่ยว และออนไลน์   ช่องทางทีวี แคตตาล๊อค  เป็นต้น ตลอดจนการพัฒนาร้านค้าต้นแบบจำหน่ายผลิตภัณฑ์โอทอปเพื่อสามารถขยายเข้าสู่ระบบแฟรนไชส์ในรูปแบบของ “แฟรนไชส์ โมเดล” ต่อไป

ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมการพัฒนาชุมชน (พช.) ผลิตภัณฑ์โอทอป 3-5 ดาว มีจำนวนทั้งสิ้น 8,039 ราย แบ่งเป็น ระดับ 5 ดาว จำนวน 1,985 ราย (คิดเป็นร้อยละ 25) ระดับ 4 ดาว จำนวน 3,826 ราย (คิดเป็นร้อยละ 47) และ ระดับ 3 ดาว จำนวน 2,228 ราย (คิดเป็นร้อยละ 28) และสามารถจำแนกตามประเภทผลิตภัณฑ์โอทอป ได้ดังนี้ กลุ่มผ้าและเครื่องแต่งกาย จำนวน 2,745 ราย (คิดเป็นร้อยละ 34) กลุ่มอาหาร จำนวน 2,195 ราย (คิดเป็นร้อยละ 27) กลุ่มของใช้ของตกแต่ง จำนวน 1,970 ราย (คิดเป็นร้อยละ 25) กลุ่มสมุนไพรที่มิใช่อาหาร จำนวน 693 ราย (คิดเป็นร้อยละ 9) และ กลุ่มเครื่องดื่ม จำนวน 436 ราย (คิดเป็นร้อยละ 5)