ชี้ปม! เอสเอ็มอีไทยไม่กล้าโกอินเตอร์


ฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK เผยแนวโน้มเศรษฐกิจในครึ่งหลังปี 60 ฟื้นตัวอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับการส่งออกจะกลับมาเติบโตได้ดีเช่นกัน  ชี้ปมเอสเอ็มอีไทยยังไม่กล้าโกอินเตอร์  จากปัญหาขาดสภาพคล่อง เข้าถึงแหล่งทุนได้ยาก และกังวลความเสี่ยงในการส่งออก

างขวัญใจ เตชเสนสกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยธุรกิจ  ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจและการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2560 ส่งแนวโน้มเชิงบวกต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก  จากปัจจัยสนับสนุน เช่น  โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ หรือ Mega Projects หลายโครงการเริ่มเดินหน้าในช่วงครึ่งปีหลัง   รวมถึง ภาครัฐยังได้ปลดล็อคข้อจำกัดต่างๆ ให้กับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)ให้เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว  

นอกจากนั้น  ราคาสินค้าเกษตรหลักหลายตัวเริ่มฟื้น ส่งให้กำลังซื้อของเศรษฐกิจฐานรากผลักดันกลับมาอยู่ในระดับปกติอีกครั้ง หลังจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาต้องเผชิญกับภาวะภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ กำลังซื้อบางส่วนยังเพิ่มขึ้นหลังโครงการรถยนต์คันแรกทยอยครบอายุถือครอง ทำให้ภาระการผ่อนชำระรถยนต์บางส่วนหมดไป ส่งผลให้เกิดอุปสงค์ใหม่ๆ ในการจับจ่ายใช้สอยทั้งสินค้าคงทน และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ

อีกทั้ง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง จะเป็นกลไกสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สะท้อนได้จากสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวต่อ GDP รวม ที่ขยับเพิ่มขึ้นจากตัวเลขหลักเดียวในช่วง 10 ปีก่อน มาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 15% แล้วในปัจจุบัน

นางขวัญใจ เผยต่อว่า ในส่วนภาคส่งออกกลับมาเป็นกลไกในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจากยอดส่งออกหดตัวติดต่อกันถึง 3 ปี โดย เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2559 และขยายตัวต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้หลายฝ่ายมองว่าการส่งออกทั้งปีนี้มีความเป็นไปได้มากที่จะขยายตัวสูงสุดในรอบ 6 ปี  ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นปัจจัยที่เกื้อหนุนต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง

ทั้งนี้ เชื่อว่า การส่งออกไทยกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกครั้ง หลังจากตัวเลขส่งออกในช่วง 4 เดือนแรก ที่โตถึง 5.7% นับเป็นเครื่องยืนยันได้ระดับหนึ่งว่าภาคส่งออกกลับมาเป็นความหวังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยปัจจัยสนับสนุนหลายประการ เช่น เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายดีขึ้น   ราคาน้ำมันยังยืนเหนือระดับปีก่อนหน้า จากข้อตกลงลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC ที่เข้ามาช่วยบรรเทาปัญหาอุปทานน้ำมันส่วนเกินได้ระดับหนึ่ง และอุปสงค์การใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก  และการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบมาผลิตเพื่อส่งออก กลับมาขยายตัวสูง หลังหดตัว 3 ปีติดต่อกัน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและการส่งออกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการส่งออกที่มีแนวโน้มสดใส ยังมี “ปัจจัยเสี่ยง” ที่ผู้อยู่ในแวดวงการค้าระหว่างประเทศต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกในระยะถัดไป เช่น มาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ  ภัยก่อการร้ายและความขัดแย้งระหว่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนและยากที่จะคาดการณ์  

ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ฯ กล่าวต่อว่า แม้ว่าภาวะส่งออกในครึ่งปีหลังที่มีแนวโน้มดี  แต่หากพิจารณาในมิติของผู้ประกอบการ มีข้อมูลที่น่าสนใจ การส่งออกส่วนใหญ่มาจากผู้ประกอบการรายใหญ่ ส่วนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 2.7 ล้านราย  แต่กลับเป็นมีเอสเอ็มอีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่กล้าออกไปต่างประเทศ สะท้อนได้จากมูลค่าส่งออกของ เอสเอ็มอีที่คิดเป็นเพียง 27% ของมูลค่าส่งออกของประเทศเท่านั้น ขณะเดียวกัน เอสเอ็มอียังอ่อนไหวต่อปัจจัยความไม่แน่นอนมากกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่  

“ข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น  จึงมีคำถามว่า “ทำไม SMEs ไทยจึงเก่งเฉพาะในประเทศ?” และ “ผู้ประกอบการกำลังเผชิญกับข้อจำกัดใด จึงยังมีส่วนในการขับเคลื่อนการส่งออกได้ไม่มากในปัจจุบัน” ซึ่งจากข้อมูลพบว่าข้อจำกัดที่เอสเอ็มอีไทย เผชิญอยู่หลักๆ คือ ปัญหาขาดสภาพคล่อง การเผชิญกับเงื่อนไขการกู้เงินที่เข้มงวด และมีความกังวลถึงความเสี่ยงในการส่งออก” างขวัญใจ

ทั้งนี้ จากปัญหาดังกล่าว  ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีควรจะพัฒนาศักยภาพตัวเองเพื่อขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มCLMV ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก และชื่นชอบสินค้าของไทยเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว  โดย EXIM BANK  มีการออกบริการใหม่ “สินเชื่อส่งออกทันใจทวีค่า” เพื่อเสริมศักยภาพทางการเงินให้เอสเอ็มอีไทยสามารถจะออกไปทำตลาดในต่างแดนได้มากยิ่งขึ้น