“เอสเอ็มอีแบงก์” ประกาศสู้ศึก FRCD ถึงฎีกา ยันฐานะการเงินสุดปึ๊ก


ธพว. เผยผลการตัดสินคดี FRCD ไม่กระทบ ยันสู้ศึกถึงศาลฎีกา ยันฐานะการเงินแข็งแรง และมีการตั้งกองทุนสำรองจ่ายไว้เรียบร้อย  ยืนยันผลการตัดสินใจสุดท้ายจะเป็นอย่างไร  ไม่กระทบผู้ฝากเงิน เจ้าหนี้ และการดำเนินงาน

นายมงคล  ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ “เอสเอ็มอีแบงก์”  เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณี ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) จำกัด (มหาชน) (SCBT) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง  ธพว. เป็นจำเลย เพื่อเรียกค่าเสียหายตามสัญญาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Cross Currency Swap /CCS) และสัญญาป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Swap /IRS) บนบัตรเงินฝากชนิดดอกเบี้ยลอยตัว (FRCD) จำนวนคดีมีทุนทรัพย์รวมประมาณ 6,000 ล้านบาท  ต่อศาลแพ่งจำนวนทั้งสิ้น 3 คดี เมื่อปี 2551 และ 2552   โดยศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษา  เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2558  ให้ ธพว. ชนะคดีโดยยกฟ้องทั้ง 3 คดี  ต่อมาโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์   ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษา  เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2560  พิจารณาให้ ธพว. ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามจำนวนดังกล่าวนั้น

กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีข้อพิพาทดังกล่าว เป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2549 และต่อมาได้ต่อสู้คดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์  ซึ่งจากผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ธนาคารจะใช้สิทธิ์ต่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกาต่อไป  ส่วนผลของคดีจะเป็นอย่างไร  ธพว. ยินดีและพร้อมปฏิบัติตามคำพิพากษาทุกประการ  เนื่องจากฐานะการเงินของธนาคารมีความแข็งแกร่ง  ณ สิ้นปี 2559 ธนาคารมีกำไรถึง 1,600 ลบ. ยังมีเงินกองทุนและมีเงินสำรองหนี้ส่วนเกินรองรับความเสียหายที่เพียงพอและเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้  BIS Ratio ตามเกณฑ์ Basel  ไว้ที่ร้อยละ 8.5  ขณะนี้ธนาคารมีกองทุนขั้นที่ 1 มี.ค. 2560 ที่ร้อยละ 11.55 และกรณีเมื่อมีการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ในกองทุนขั้นที่ 2 ก็จะมีกองทุนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 รวมกันเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 12  ซึ่งจะทำให้ฐานะทางการเงินมีความแข็งแกร่ง  เพียงพอต่อการชำระหนี้ตามความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นหากผลของคำพิพากษาให้ ธพว. ชำระหนี้

“ขอยืนยันว่า ไม่ว่าผลการตัดสินใจจะออกมาอย่างไรก็ ก็จะไม่มีผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ ธพว.  และผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน  โดย ธพว. ยังสามารถดำเนินการตามแผนพันธกิจผู้ประกอบการรายย่อยปี 2560 ได้เป็นปกติ  รวมถึงมีความพร้อมในการสนองนโยบายภาครัฐเพื่อผลักดันขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เดินหน้าต่อไป” นายมงคล กล่าว

ทั้งนี้  ในส่วนของคดี ธพว. ยืนยันจะต่อสู้ในชั้นศาลฎีกา  เพราะเชื่อมั่นในความยุติธรรม  และมีพยานหลักฐานสำคัญที่จะสามารถยกขึ้นต่อสู้คดีในหลายประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อธนาคาร  โดยการยื่นฎีกาตามกระบวนการจะใช้เวลาภายใน 30 วัน  โดยธนาคารได้รายงานข้อมูลดังกล่าว ต่อคณะกรรมการธนาคาร กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารแห่งประเทศไทยรับทราบแล้ว