จับตาวันนี้ ชงมาตรการหนุนเอสเอ็มอีค้าขายต่างประเทศ


เผยที่ประชุมติดตามความคืบหน้ามาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีในวันนี้ (12 ก.ค.) ก.อุตสาหกรรม เตรียมชงแผนหนุนเอสเอ็มอีค้าขายต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านแหล่งทุน และประกันความเสี่ยงค่าเงินผันผวน พร้อมรายงานความคืบหน้ากองทุนหนุนเอสเอ็มอี วงเงินรวม 38,000 ล้านบาท

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า วันนี้ (12 ก.ค.) กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมเสนอมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ค้าขายระหว่างประเทศต่อที่ประชุมติดตามความคืบหน้ามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน  ซึ่งมาตรการสนับสนุนเอสเอ็มอีดังกล่าวสอดรับกับภาวะปัจจุบันที่เอสเอ็มอีจำนวนมากเริ่มขยายกิจการซื้อขายระหว่างประเทศมากขึ้น

“ขณะนี้ เอสเอ็มอีจำนวนมากเริ่มขยายกิจการซื้อ-ขายระหว่างต่างประเทศ โดยมีความต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้ง หามาตรการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เช่น การซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า (เฮดจิ้ง) ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฟอร์เวิร์ด) ในอัตราพิเศษให้ภาคเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ รวมทั้งหาแนวทางสนับสนุนให้ความรู้ผู้ประกอบการให้เห็นถึงความสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงที่ผันผวนอย่างต่อเนื่อง” นายอุตตมกล่าว

สำหรับที่ประชุมจะหารือร่วมกับสถาบันการเงินต่างๆ เช่น สมาคมธนาคารไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เพื่อหาแนวทางสนับสนุนเอสเอ็มอีให้เข้าใจระบบป้องกันความเสี่ยง เข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งขณะนี้เอสเอ็มอีส่วนหนึ่งยังเข้าไม่ถึง ประกอบกับบางส่วนยังไม่เข้าใจถึงความจำเป็นในการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า หรือการทำประกันความเสี่ยง โดยเฉพาะภาคส่งออก เนื่องจากภาวะอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนอาจจะกระทบต่อการส่งออกได้

นอกจากนี้ เตรียมรายงานความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี วงเงิน 38,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐที่มีวงเงินช่วยเหลือ 20,000 ล้านบาท กองทุนฟื้นฟูเอสเอ็มอี ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) วงเงิน 2,000 ล้านบาทด้วย กองทุนพลิกฟื้นของ สสว. วงเงิน 1,000 ล้านบาท และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน 15,000 ล้านบาท ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ขณะนี้มีปล่อยสินเชื่อไปแล้ววงเงิน 24,000 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประกอบการประมาณ 10,000 กว่าราย ซึ่งในที่ประชุมจะติดตามการปล่อยสินเชื่อว่า ติดขัดปัญหาอะไรหรือไม่ เพื่อช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยเร็ว แต่ก็ต้องรอบคอบด้วย