ปัจจุบันโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงแบ่งออกเป็น 6 องค์ประกอบ ได้แก่
(1) ราคาหน้าโรงงาน ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ
(2) ภาษีสรรพสามิตที่อัตราประมาณ 0.975 ถึง 6.5 บาทต่อลิตร ขึ้นกับประเภทน้ำมัน ซึ่งจัดเก็บบนหลักการด้านสิ่งแวดล้อม
(3) ภาษีเพื่อส่วนราชการท้องถิ่นที่ร้อยละ 10 ของภาษีสรรพสามิต เพื่อเป็นรายได้ท้องถิ่นในการจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะแก่ประชาชนในพื้นที่
(4) ภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ซึ่งเป็นการจัดเก็บสินค้าเกือบทุกประเภท
(5) กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่จัดเก็บประมาณ -17.6143 ถึง 6.58 บาทต่อลิตร ขึ้นกับประเภทน้ำมัน ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักในการรักษาเสถียรภาพของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ และ
(6) ค่าการตลาดซึ่งเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากโครงสร้างราคาน้ำมันจะพบว่า สัดส่วนที่ได้มีการกล่าวอ้างว่า การเก็บภาษีและเงินกองทุนของภาครัฐสูงถึงร้อยละ 45 ของราคาน้ำมันต่อลิตรที่ประชาชนจ่ายนั้น จะพบว่า เป็นการนำสัดส่วนของราคาน้ำมันเบนซินปกติ (ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้ในสัดส่วนที่น้อย และเป็นการใช้สำหรับรถยนต์ที่มีราคาสูง) มาอ้างใช้กับน้ำมันทุกประเภท จะเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เพราะหากเป็นน้ำมันประเภทอื่นเช่น เบนซินแก๊สโซฮอล ดีเซล LPG เป็นต้น สัดส่วนของภาษีและเงินกองทุนจะอยู่ในสัดส่วนเพียงร้อยละ 6 – 23 เท่านั้น และในน้ำมันบางประเภท เช่น เบนซิน 95 E85 และ LPG สัดส่วนการเก็บภาษีและเงินกองทุนติดลบ เนื่องจากได้รับการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมัน
จากข้อมูลราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2564 ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อส่วนราชการท้องถิ่น เงินนำส่ง/ได้รับอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเงินนำส่งกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน มีการจัดเก็บภาษีและได้รับเงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตราที่แตกต่างกันตามโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน
ประเภทน้ำมันที่รถยนต์ส่วนใหญ่มีการใช้ ได้แก่ น้ำมันดีเซล มีราคาหน้าโรงงานคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75 ถึง 87 ของราคาขายปลีก ในส่วนของภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อส่วนราชการท้องถิ่น เงินนำส่ง/ได้รับอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเงินนำส่งกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 6 ถึง 16 ของราคาขายปลีกเท่านั้น ในส่วนค่าการตลาดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1 – 3 ของราคาขายปลีก และท้ายสุดภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งเป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าทุกประเภทที่ร้อยละ 7 ของมูลค่าสินค้า
สำหรับกลุ่มราคาน้ำมันเบนซิน มีราคาหน้าโรงงานคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 56 ถึง 100 ของราคาขายปลีก ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อส่วนราชการท้องถิ่น เงินนำส่ง/ได้รับอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเงินนำส่งกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ -25 ถึง 35 ของราคาขายปลีก ค่าการตลาดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2 – 18 ของราคาขายปลีก และภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งเป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าทุกประเภทที่ร้อยละ 7 ของมูลค่าสินค้า สำหรับกลุ่มราคา LPG ราคาหน้าโรงงานคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 157 ของราคาขายปลีก ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อส่วนราชการท้องถิ่น เงินนำส่ง/ได้รับอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเงินนำส่งกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ -81 ของราคาขายปลีก เนื่องจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีการอุดหนุนราคาดังกล่าวอยู่ LPG ค่าการตลาดอยู่ที่สัดส่วนร้อยละ 17 ของราคาขายปลีกและภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งเป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าทุกประเภทที่ร้อยละ 7 ของมูลค่าสินค้า
การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากสินค้าพลังงานเป็นแนวปฏิบัติที่เป็นสากล เนื่องจากการบริโภคสินค้าพลังงานสร้างผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น การสร้างมลภาวะทางอากาศซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาวะของประชาชนในภาพรวม การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas) ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming) และสร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ตามมา เป็นต้น ดังนั้น เพื่อให้ราคาของสินค้าพลังงานสามารถสะท้อนผลกระทบและต้นทุนที่จะเกิดขึ้นจากการบริโภคสินค้าพลังงานต่อเศรษฐกิจและสังคม รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากสินค้าพลังงานเพิ่มเติม โดยหากวิเคราะห์ในภูมิภาคอาเซียน เกือบทุกประเทศต่างมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากสินค้าพลังงานแล้วทั้งสิ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าพลังงานของประเทศไทยอยู่ในระดับกลาง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน โดยหากพิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศ ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2564 แล้ว อยู่ที่ประมาณ 29 บาทต่อลิตร ในขณะที่สิงคโปร์อยู่ที่ 53 บาทต่อลิตร สปป. ลาวอยู่ที่ 31.50 บาทต่อลิตร กัมพูชาอยู่ที่ 30.24 บาทต่อลิตร ฟิลิปปินส์อยู่ 28.69 บาทต่อลิตร เมียนมาอยู่ 26.95 บาทต่อลิตร และมาเลเซีย (ผู้ส่งออกน้ำมัน) อยู่ที่ 17.42 บาทต่อลิตร
ในด้านภาษีมูลค่าเพิ่ม อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ 10 ของมูลค่าสินค้าและบริการ แต่จัดเก็บจริงที่ร้อยละ 7 ของมูลค่าสินค้าและบริการ ทั้งนี้ เพื่อลดภาระแก่ประชาชน และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับต่างประเทศแล้วพบว่า ประเทศไทยมีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มต่ำที่สุดในภูมิภาค รวมทั้งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่ม OECD จะพบว่า อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเฉลี่ยของกลุ่ม OECD สูงกว่าอัตราจัดเก็บจริงชองประเทศไทยเกือบ 3 เท่า หรืออยู่ที่ร้อยละ 19.3 ดังนั้น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7 ของมูลค่าสินค้าและบริการ จึงอาจไม่เป็นการสร้างภาระแก่ประชาชนที่สูงเกินกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลก
การจัดเก็บภาษีทั้งภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่างเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐ โดยในปีงบประมาณ 2563 สัดส่วนภาษีสรรพสามิตและภาษี VAT คิดเป็นเกือบร้อยละ 40 ของรายได้รัฐบาลรวม ดังนั้น การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มจึงเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่รัฐบาลจะสามารถนำมาใช้ในการบริหารประเทศและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมต่าง ๆ ได้ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและการค้าขายและลดต้นทุนการขนส่ง การดำเนินมาตรการส่งเสริม SMEs การดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบจาก COVID-19 การให้บริการด้านสาธารณสุข เป็นต้น
.
.
.