คนที่มาดูเรา เขาไม่ได้แค่มาฟังเพลง เขาอยากรับรู้เรื่องราว เขาอยากรู้แนวคิด เขารู้สึกว่าเรามีพลังบวก เราเป็นคนพิการ แต่เราได้ทำเพื่อสังคมด้วย เราได้พลังกลับมาเยอะมาก เหมือนว่าเรามีคุณค่าจริงๆ: อธิษฐ์รดา จันทร์ชูวณิชกุล
รายการ The Stronger ฅนหัวใจแกร่ง ครั้งนี้ พาไปที่ย่านเมืองเก่าจังหวัดภูเก็ต เพื่อพบกับคุณแอน อธิษฐ์รดา จันทร์ชูวณิชกุล สาวสวยและเป็นผู้พิการทางสายตาเลือนราง แต่สามารถเล่นกู่เจิงจนได้รับฉายาว่านางฟ้ากู่เจิง ซึ่งกว่าเธอจะมาถึงจุดตรงนี้ เธอเองต้องผ่านการฝึกฝนและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และพยายามมากกว่าคนปกติ
คุณแอนเล่าว่า เธอพิการสายตาเลือนรางมาตั้งแต่กำเนิด คุณแม่พาตระเวนไปรักษาหลายที่ จนมารู้อีกทีประมาณ 5 – 6 ขวบ คุณหมอบอกว่าเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งรักษาไม่ได้และมีแต่จะต้องเสื่อมลง จนกว่าจะมองไม่เห็นจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ การมองเห็นค่อยๆลดลงจนเหลือเพียง 5%
สำหรับการใช้ชีวิต ในบ้านสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ ด้วยความเคยชินจึงสามารถเดินได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าออกนอกบ้าน ก็ต้องมีคนคอยช่วย คอยให้เกาะพาไป ช่วงที่รู้ว่าตัวเองพิการ เริ่มจากสมัยเรียนมหาวิทยาลัย บังเอิญไปเจออาจารย์ท่านหนึ่งเป็นโรคกัน เขาจึงแนะนำให้ไปขึ้นทะเบียนที่วิทยาลัยราชสุดา เพราะมีคอร์สอบรม มีโปรแกรมช่วยเหลือ และมีการฝึกการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวันด้วย
การเล่นกู่เจิง เริ่มมาเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ตอนนั้นฝึกพื้นฐานเบื้องต้นแต่ก็รู้สึกว่ายากมาก เลยเลิกเล่นไปแล้วกลับมารื้อฟื้นใหม่แบบจริงจังได้ 5 ปี เพราะมองว่าทำเป็นอาชีพได้ และลงวีดีโอบน YouTube ด้วย ที่เลือกเล่นกู่เจิง เพราะชอบมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว ดูในหนังจีน อากง อาม่า ชอบเปิดให้ดู ซึ่งตอนนั้นไม่รู้เลยค่ะว่ามันคืออะไร แต่รู้สึกว่าเสียงมันไพเราะ บวกกับเห็นพระองค์เจ้าฟ้าหญิงทรงเครื่องกู่เจิง เลยเริ่มอยากเล่น แล้วไปเรียนตามสถาบันที่สอน พร้อมกลับมาฝึกด้วยตัวเองอย่าง ส่วนงานอดิเรก จะเล่นเปิดหมวกที่ถนนคนเดินหลาดใหญ่ในวันอาทิตย์ ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับดีมาก นอกจากนั้นยังรับงานโชว์ตามสถานที่ต่างๆ เช่น โรงแรม แหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหาร ซึ่งนอกจากเป็นนักดนตรีแล้ว ยังได้ทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้สร้างแรงบันดาลใจด้วย
ทุกวันนี้ แม้จะมองเห็นเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ จนทำให้กลัวว่าซักวันอาจมืดสนิด แต่ก็ต้องอยู่ให้ได้ อยู่ให้มีความสุข เพราะว่านี่คือชีวิตของเราที่ยังต้องอยู่กับเขาอยู่ แล้วอยู่กับโรคนี้ที่มันเป็นร่างของเรา มันเป็นตัวตนของเรา เราอยู่กับมันมาตั้งแต่เราเกิด ยังไงเราก็หนีไม่พ้น เปลี่ยนมุมมองจากการคิดวนๆ และมองข้ามอุปสรรค มองว่าเราจะไปต่อยังไง เราจะอยู่บนโลกนี้กับคนอื่นยังไง เราจะประกอบอาชีพยังไง แล้วก็เราจะใช้ชีวิตยังไงอย่างมีความสุข เรามองข้ามไปเลย แล้วหาพลังให้ตัวเอง ซึ่งการได้ทำเพื่อสังคมด้วยก็ทำให้ได้พลังกลับมาเยอะมาก เพราะเหมือนว่าเรามีคุณค่าจริงๆ
สำหรับสวัสดิการของคนพิการ อยากให้เน้นเรื่องการจัดอบรมอาชีพ เพราะว่าสำคัญมาก ให้เงินก็ไม่เท่ากับการให้ความรู้ในการประกอบอาชีพ ถ้าเกิดคนพิการสามารถประกอบอาชีพได้ด้วยตัวเอง ก็จะพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืน และเป็นความสร้างความภาคภูมิใจในตัวเองด้วย
สุดท้าย แอนเชื่อว่ามนุษย์ เมื่อเราบกพร่องทางหนึ่ง เราได้ฝึกระบบประสาทเราอีกทางหนึ่ง เราได้ฝึกศักยภาพเราทางอื่น แค่ก้าวออกมาจากบ้าน กล้าออกมาดูแลตัวเอง กล้าที่จะแบบประกอบอาชีพ เลี้ยงดูตัวเอง เลี้ยงดูครอบครัวได้ แค่นี้ก็เป็นที่ชื่นชมแล้ว