The stronger ฅนหัวใจแกร่ง EP.18 กิตติ สืบสันติพงษ์ แกนนำผู้สานโอกาสคนพิการชุมชน


รู้…ว่าตัวคนพิการเป็นนักคิด นักฝัน เมื่อคิดฝันแล้ว ขอให้ลุกขึ้นมาทำ ท่านจะประสบผลสำเร็จ ส่วนคนปกติ อนาคตเราไม่รู้ว่าชะตาชีวิตจะเป็นยังไง เพราะฉะนั้น การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมทุกวันนี้ อย่าประมาท มีสติ ยั้งคิดในการดำเนินชีวิต แล้วอย่าท้อ จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน อย่างผม ผมก็เรียนรู้กับไอ้ครึ่งท่อนของผม ว่าจะทำยังไง เพื่อสู้ต่อไปในอนาคต ให้เป็นประโยชน์กับสังคม และชุมชน: กิตติ สืบสันติพงษ์

รายการ The Stronger ฅนหัวใจแกร่ง ครั้งนี้ ไปที่สมาคมคนพิการทางกายหรือการเคลื่อนไหว อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก เพื่อพบกับคุณกิตติ สืบสันติพงษ์ เหยื่ออุบัติเหตุเมาแล้วขับ ผู้ได้รับความทุกข์ทรมาน จากกระดูกสันหลังหัก ขาทั้งสองข้างพิการ จนสิ้นหวังเกือบตัดสินใจจบชีวิต แต่โชคดี ได้กำลังใจจากครอบครัวคนรอบข้าง ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ แล้วหันมาทำความดีเพื่อสังคม จนกลายเป็นแกนนำกลุ่มคนพิการจังหวัดตาก มีบทบาทสำคัญในการจัดหางานให้ผู้พิการ ผ่านการดำเนินงานในหลากหลายโครงการ เช่น การปลูกและฟื้นฟูป่า ร้านค้าชุมชน ช่วยให้คนพิการหลายร้อยคน มีอาชีพ มีรายได้กลับมาจุนเจือตัวเองและครอบครัว

คุณกิตติ เล่าว่า เมื่ออายุ 25-26 ปี ขณะนั้นทำอาชีพครู ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เนื่องจากเพื่อนเมาแล้วขับ ซึ่งจากผลกระทบวันนั้น ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปตลอดกาล เพราะไม่สามารถเดินได้แบบคนปกติ และต้องนั่งบนรถเข็นตลอดชีวิต

‘เราไปอยู่ตรงจุดนั้นด้วย แล้วประกอบกับความประมาท เราไม่คิดว่ามันจะมีผล กับชีวิตเราถึงขนาดนี้ ตอนนี้ผม 53 ปีแล้ว ผ่านมา 20 กว่าปี กับที่ต้องใช้ชีวิตบนรถเข็น ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง จากอีกรูปแบบหนึ่งของชีวิตคน’

ช่วงแรกท้อมาก เพราะชีวิตเปลี่ยนไป มองอนาคตข้างหน้าว่าเราจะใช้ชีวิตยังไงต่อไป กับการที่เราเหมือนกับคนไม่มีขาแล้ว ระหว่างนั้นอยู่โรงพยาบาลประมาณ 45 วัน บางครั้งคิดอยากฆ่าตัวตาย แตโชคดีที่ครอบครัวคอยให้กำลังใจ บวกกับไปเจอเคสที่เขาอุบัติเหตุเหมือนกัน แต่เขาหนักกว่า เพราะต้องนอนตลอดชีวิต ทำให้ได้คิดว่าชีวิตเราก็เหมือนน้ำ ถ้าเต็มแก้วก็เหมือนคนเดินได้ปกติ แต่น้ำของเรามันเหลืออยู่ครึ่งแก้ว ซึ่งน้ำที่เหลืออยู่ มันก็ยังเป็นประโยชน์กับตัวเราและคนอื่นได้ จึงคิดว่าเราน่าจะอยู่ได้ แล้วน่าจะทำอะไรที่เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด

ต่อมาได้ไปฝึกทักษะการใช้ชีวิตต่ออีกประมาณ 1 ปี ที่นครศรีธรรมราชทำให้เห็นการรวมกลุ่มคนพิการ ว่าเขามีสุขภาพ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมได้รับการศึกษา จึงเริ่มมาก่อตั้งชมรมคนพิการเล็กๆ ระดับตำบลในจังหวัดตาก แล้วค่อยๆขยายมาเป็นสมาคมคนพิการระดับจังหวัด จนปัจจุบันสมาคมคนพิการทางกายหรือการเคลื่อนไหวตาก มีเครือข่ายชมรมคนพิการระดับตำบลถึง 36 ชมรม 

กิจกรรมหลักจะเน้นหนักไปที่เรื่องการส่งเสริมให้คนพิการมีอาชีพ เพื่อเกิดการจ้างงาน การรวมกลุ่มกันประกอบอาชีพ และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยมีหลายองค์กรมาคอยสนับสนุนจ้างงาน เช่น อิออน แม็คโคร อิออน แม็กซ์แวลู ธนาคารทหารไทย กรมป่าไม้ ทหารเสือกรมพระนเรศวร หลักๆจะเป็นการจ้างเหมาบริการปลูกป่า เพื่อฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรม ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งนอกจากคนพิการได้ประโยชน์แล้ว ชุมชนและประเทศชาติยังได้ประโยชน์ด้วย ซึ่งปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว ปลูกไปทั้งหมด 215 ไร่ และในปี 63 ก็จะพื้นที่ใหม่ให้เข้าไปปลูกอีกกว่า 150 ไร่

นอกจากปลูกป่า ยังมีการรวมกลุ่มทำร้านค้าชุมชน โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม็คโคร จากแกนนำผู้พิการกว่า 20 คน ซึ่งก็ไปต่อได้ เพราะหลังจากเปิดกิจการมา 2 ปี สามารถปันผลกำไรให้กับสมาชิกไปกว่า 70,000 บาท แต่เนื่องจากยังเช่าอยู่ ในเดือนหน้าจะเริ่มสร้างร้านชุมชนเอง เพราะได้รับงบประมาณสนับสนุนสนับสนุนมาจากบริษัทแม็คโคร อีกกว่า 2,200,000 บาท คาดว่าจะสร้างเป็นร้านขนาดใหญ่ และมีแผนจะทำโรงงานน้ำดื่มอยู่ในนั้นด้วย เพราะหลังจากเริ่มทำงานกันมา เห็นแล้วว่าชีวิตของคนพิการเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ครอบครัวก็อบอุ่นขึ้น

ปัจจุบันมองว่าผู้พิการได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐและภาคเอกชนดีมาก อย่างในเรื่องสิทธิสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล หลักประกันสุขภาพ โดยเฉพาะการศึกษาที่ได้รับความช่วยเหลือจาก กศน.จังหวัด ที่ส่งครูสอน ส่วนในเรื่องกายอุปกรณ์ หรือเครื่องยังชีพ ก็ได้รับความช่วยเหลือจากชมรมคนพิการในตำบลอยู่ตลอด แต่ยังไงก็ตาม ก็ยังมีคนพิการอยู่อีกมากที่ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆเหล่านี้ โดยเฉพาะคนพิการที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล

ส่วนการขับเคลื่อนทางสังคม ก่อนอื่นคนพิการต้องช่วยเหลือตัวเองได้ก่อน เมื่อช่วยเหลือตัวเอง และช่วยเหลือครอบครัวได้แล้ว เขาจึงจะมีพลังในการที่จะไปช่วยเหลือสังคมต่อ เพราะการช่วยเหลือสังคมเป็นสิ่งที่คนพิการหลายๆ คนมีความคิดอยากจะทำ แต่บางคนก็อาจจะยังทำไม่ได้ หรือบางคนทำแล้ว หรือบางคนกำลังทำอยู่ ซึ่งเราต้องอาศัยความกล้าคิด และเมื่อคิดแล้ว…ต้องทำ

สุดท้าย อยากฝากถึงคนพิการว่า เรารู้แหละว่าตัวคนพิการเป็นนักคิด นักฝัน เมื่อคิดฝันแล้ว ขอให้ลุกขึ้นมาทำ ท่านจะประสบผลสำเร็จในชีวิต ส่วนคนปกติ อนาคตเราไม่รู้ว่า ชะตาชีวิตจะเป็นยังไง เพราะฉะนั้น การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมทุกวันนี้ อย่าประมาท มีสติ ยั้งคิดในการดำเนินชีวิต แล้วอย่าท้อแท้ จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันไป อย่างผม ผมก็เรียนรู้กับไอ้ครึ่งท่อนของผม ว่าจะสู้ต่อไปยังไงในอนาคต ให้เป็นประโยชน์กับสังคม และชุมชน