The stronger ฅนหัวใจแกร่ง EP.19 สุดารัตน์ เทียรจักร์ นักเขียนผู้พิการ


ชีวิตฉันที่ผ่านมา ได้เรียนรู้จนรู้ว่า ตัวฉันมีค่า มีความหมาย ได้จากคนรอบตัวที่อยู่เคียงข้างกัน แล้วอะไรๆที่ได้ลงมือทำ ก็พอได้รับคำแนะนำด้วยโอกาสต่างๆ จนทำให้ฉันมีความคิดอยากทำออกมา ให้เป็นผลไปตอบแทนใครได้จริง มากกว่าคำขอบคุณ: สุดารัตน์ เทียรจักร์

รายการ The Stronger ฅนหัวใจแกร่ง ครั้งนี้ ไปที่จังหวัดแพร่ เพื่อพบกับคุณสุดารัตน์ เทียรจักร์ หรือน้ององุ่น เธอพิการทางการเคลื่อนไหว ใช้ชีวิตอยู่บนวีลแชร์มามากกว่า 14 ปี ช่วงแรกๆเธอขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง จนนานวันเข้า เธอยอมรับในความพิการ และเปลี่ยนแนวคิดใหม่ คือใช้ชีวิตอยู่กับมันให้ได้ พร้อมตั้งเป้าหมายอีกหลายอย่างในชีวิต เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดของร่างกาย ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง ปัจจุบันเธอกลายเป็นนักเขียนที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ

น้ององุ่นเล่าว่า เธอใช้ชีวิตอยู่วีลแชร์ ตั้งแต่ปี 2547 ขณะอายุ 13 ปี ตอนนั้นนอนอยู่ในแค็ปรถปิคอัพ แล้วรถที่โดยสารไปเกิดชนกัน จึงกลิ้งไปที่วางเท้าด้านล่าง ทำให้กระดูกสันหลังบริเวณคอเคลื่อนทับเส้นประสาทไขสันหลังขาด ช่วงแรกขยับตัวไม่ได้เลย แต่ก็ยังมีความหวังอยู่ตลอด จนหลังจากอุบัติเหตุ ประมาณ 2-3 ปี ต้องออกมาอยู่ที่บ้านเพราะไม่ได้เรียนหนังสือ จึงถามตัวเองมากขึ้น ว่าเราจะเอายังไงกับชีวิตต่อ

ช่วงนั้นอายุ 15-16 ปี เป็นช่วงวัยรุ่นที่เราพยายามมองหาอนาคต ว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง เพราะเป็นลูกคนเดียว เราต้องทำงานดูแลพ่อแม่ คือตอนนั้น คุณแม่ทำอาชีพแม่บ้าน เย็บผ้า พอประสบอุบัติเหตุแม่ต้องไปดูแลอยู่ที่โรงพยาบาล ไปช่วยฝึกทำกายภาพ ส่วนคุณพ่อก็ทำงานขับรถสองแถวรอบเมือง เวลาอยากทำอะไรก็จะคอยสนับสนุน เป็นส่วนหนึ่งของกำลังใจ ที่เราอยากทำอะไรตอบแทน

ด้วยความชอบคิด และชอบเขียน พยายามมองหาว่าเราทำอะไรได้บ้าง เช่น การวาดรูป จนมาคิดได้ว่าอยากจะเขียนบันทึกเล่าเรื่องตัวเอง ในสิ่งที่คิด จากการใช้ชีวิตของคนพิการ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มันเป็นจุดเริ่มต้นของความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียน การเขียนบันทึกก็เหมือนการได้ฝึกเขียน ฝึกทำกายภาพไปด้วย พอเขียนมากขึ้นเรื่อยๆ เลยคิดว่าว่าอยากจะทำเป็นหนังสือทำมือ เพื่อเล่าเรื่องราวชีวิตให้คนได้อ่าน ตั้งแต่ช่วงประสบอุบัติเหตุมา เลยเขียนคัดตัวบรรจง แล้วทำเป็นหนังสือทำมือขึ้น พร้อมเริ่มกลับมาฝึกพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ ซึ่งคุณหมอก็แนะนำวิธีจับเมาส์ ตอนแรกเขียนเรื่องของตัวเอง แต่ไม่ค่อยมีคนอ่านจึงเปลี่ยนไปลองเขียนนิยายที่คนสนใจอ่าน เผื่อมันจะเป็นขายได้ แต่ส่งไปสำนักพิมพ์ก็ไม่ผ่านการพิจารณา ช่วงนั้นท้อมาก น่าจะ 6-7 ปี หลังจากเกิดอุบัติเหตุ

วันหนึ่งได้ไปเห็นการประกวดหนังสั้น รู้สึกว่า น่าจะเอาเรื่องของเรามาดัดแปลงเป็นหนังสั้น เพื่อจะส่งไปให้คนอื่นอ่านได้ง่ายขึ้น คือเรื่องจากชีวิตจริงของสุดารัตน์ จึงเป็นหนังสั้นเรื่องแรก ที่ดัดแปลงมาจากบันทึกที่เขียน แล้วได้ไปออกรายการ ก็เลยกลายมาเป็นหนังสือเล่มแรก ในชีวิต กระบวนการทำก็ศึกษาเองจากในอินเทอร์เน็ต YouTube อะไรพวกนี้ แล้วก็ลองฝึกทำไปเรื่อยๆ ตัดต่อก็จะถามเพื่อนๆที่เรียนมาบ้าง ตอนแรกไม่มั่นใจว่าจะทำออกมาสวย แต่เพื่อนบอกให้สื่อสารออกมาจากตัวเรา เลยมีความมั่นใจ แล้วลองทำออกมา

‘ชีวิตฉันที่ผ่านมา ได้เรียนรู้จนรู้ว่า ตัวฉันมีค่า มีความหมาย ได้จากคนรอบตัวที่อยู่เคียงข้างกัน แล้วอะไรๆที่ได้ลงมือทำ ก็พอได้รับคำแนะนำด้วยโอกาสต่างๆ จนทำให้ฉันมีความคิดอยากทำออกมา ให้เป็นผลไปตอบแทนใครได้จริง มากกว่าคำขอบคุณ’

ต่อมาพี่เอ๋ นิ้วกลม ที่เป็นนักเขียน เขาเป็นพิธีกรมาสัมภาษณ์ที่บ้าน แล้วได้มาดูบันทึก เขาถามว่าสนใจอยากทำเป็นหนังสือไหม ถ้าเกิดให้รวบรวมทำออกมา ซึ่งนั่นคือความฝันของเรา เลยได้ทำหนังสือเล่มแรก

เล่มที่สองคือ how deep is your dream เป็นการต่อยอดความฝัน จากเล่มแรกที่ได้ทำ แล้วก็ได้เงินมาใช้หนี้ที่บ้าน ก็รู้สึกว่าอยากไปเที่ยว เพราะอยู่แพร่เลยรู้สึกว่าอยากไปเที่ยวทะเลสักครั้ง อยากไปดำน้ำ แต่มันใช้ทุนเยอะ พอดีไปเจอการแข่งขันชิงทุนนะคะ จึงเข้าไปแล้วก็ได้กลับมา จึงเอาเรื่องเล่านั้นมาเขียนหนังสือ เป็นหนังสือที่รู้สึกภูมิใจมากๆ เพราะว่าได้รับรางวัลประเภทสารคดีสำหรับเด็กอายุ 12-18 ปี เป็นหนังสือดีเด่น ของสมเด็จพระเทพ

เล่มล่าสุด เพิ่งเปิดตัวในปี 2562 เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศในฝันของใครหลายคน มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย สำหรับองุ่น ช่วงที่ประสบอุบัติเหตุแรกๆ จะอยู่ในยุคซีรีย์หนังญี่ปุ่นมาแรง เลยนำมาเป็นแรงบันดาลใจในงานเขียน แล้วเดินทางไปกับแม่ หนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่แค่บันทึกเกี่ยวกับการเดินทางเท่านั้น แต่เป็นบันทึก เกี่ยวกับช่วงชีวิตที่รู้สึกดีกับตัวเอง เลยตั้งชื่อว่าความหมายปลายทาง

นอกจากเขียนหนังสือแล้ว ปัจจุบันได้ช่วยงานมูลนิธิคนพิการจังหวัดแพร่ คือเป็นแอดมินเพจ และดูแลคนพิการ เวลาคุณหมอมีคนไข้ใหม่ก็จะให้ไปช่วยเยี่ยมให้กำลังใจ ให้คำแนะนำทางผู้ป่วยที่อยู่โรงพยาบาล หรืออยู่ตามบ้าน เพื่อให้เขาเปิดโอกาสออกมาใช้ชีวิตเหมือนกัน บางครั้งเป็นวิทยากรบ้าง

สำหรับสวัสดิการอื่นๆ อยากให้ภาครัฐ เปิดโอกาสให้งานอิสระมากขึ้น เช่นงานเขียน งานหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต เพราะคนพิการหลายคนเป็นเด็กวัยรุ่น และมักอยู่แต่บ้าน ไม่ไปเรียน แต่ยุคนี้การเรียนมันก็ง่ายขึ้น เราสามารถอยากรู้เรื่องอะไรก็ได้ในอินเทอร์เน็ต ซึ่งหลายครั้งการให้งานจะมีข้อจำกัดเช่น วุฒิปริญญา จึงอยากให้ภาครัฐสนใจเด็กที่อยู่ตามบ้าน ให้ได้รับการยอมรับมากขึ้น มีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น

องุ่นอยากจะฝากบอกทุกคนว่า ถึงเราจะป่วย จะพิการ หรือเป็นยังไง เราก็ยังมีสิ่งที่เราพอยังจะทำได้ ลองค้นหาแล้วก็ลองพยายามทำออกมา สังคมยังเปิดโอกาสให้เราอยู่เสมอ เราพยายามเปิดโอกาสให้ตัวเอง ลองทำสิ่งต่างๆตามใจ แล้วมุ่งมั่น พยายาม สักวันนึงมันต้องเป็นจริงแน่นอน