บริษัทเทคฯ ยอมถูกเก็บภาษีดิจิทัลในยุโรปเพิ่มขึ้น แต่อาจกระทบลูกค้าที่ต้องซื้อสินค้าแพงขึ้น


ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ประเทศในทวีปยุโรปดูไม่ค่อยชื่นชอบสัดส่วนการเสียภาษีของบริษัทเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ เท่าไหร่นัก เพราะบริษัทเหล่านี้สามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่กลับมีสัดส่วนการเสียภาษีในอัตราเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายประเทศในยุโรปลุกขึ้นมาปฏิรูปการเก็บภาษีใหม่ โดยมุ่งเป้าไปที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เพื่อให้มีความสอดคล้องกับรายได้ที่รับ เริ่มตั้งแต่ในสหราชอาณาจักรที่รัฐบาลเพิ่มอัตราการเก็บภาษีแพลตฟอร์มดิจิทัลขึ้นอีก 2% อย่างไรก็ตามบริษัท Apple, Google และ Amazon รับมือด้วยการประกาศปรับเปลี่ยนราคาสินค้า นั่นหมายความว่าผู้บริโภคจะต้องซื้อสินค้าหรือบริการของบริษัทเหล่านี้ในราคาที่สูงขึ้น

เริ่มกันที่ Apple ที่ปรับเปลี่ยนวิธีการจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับนักพัฒนาบน App Store ในสหราชอาณาจักร โดยนอกจากภาษีที่ Apple ต้องจ่ายให้กับรัฐบาลอัตรา 20% ในการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มแต่ละครั้ง Apple จะตัด 2% ที่เป็นส่วนแบ่งระหว่างบริษัทกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ออกไป เช่นเดียวกับ Google ที่เพิ่มค่าธรรมเนียมค่าโฆษณา ทั้ง Google Ads และ YouTube อีก 2% โดยบริษัทให้เหตุผลว่าการเพิ่มอัตราภาษีเป็นภาระของลูกค้า และบริษัทอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน

ด้าน Amazon ก็เพิ่มค่าธรรมเนียมให้กับ third-party อีก 2% โดยบริษัทแจ้งกับผู้ขายว่า ก่อนหน้านี้มีการระงับการขึ้นภาษีบริการดิจิทัลในสหราชอาณาจักร แต่ปัจจุบันมีการเก็บภาษีในอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้น เราจึงต้องแจ้งให้กับผู้ขายได้รับทราบ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีเพียงแค่ในสหราชอาณาจักรเท่านั้น แต่ยังมีประเทศอื่น ๆ ในยุโรปที่เดินหน้าเก็บภาษีแพลตฟอร์มดิจิทัลจากสหรัฐฯ ใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส, อิตาลี รวมถึงตุรกีที่เป็นกรณีศึกษาน่าสนใจ หลังรัฐบาลประกาศบังคับใช้การจัดเก็บภาษีแพลตฟอร์มดิจิทัลฉบับใหม่ จน Apple ต้องปรับขึ้นราคาสินค้า 7.5% เลยทีเดียว

จะเห็นว่าแม้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ จะถูกเพิ่มอัตราภาษีจากรัฐบาลในประเทศยุโรป แต่บริษัทเหล่านี้ก็ใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยการปรับขึ้นราคาสินค้าแทน ซึ่งผลกระทบย่อมตกอยู่กับผู้บริโภคที่ต้องซื้อสินค้าในราคาแพงขึ้น

ที่มา: theverge