โซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์อัจฉริยะของหัวเว่ย (Huawei Smart PV) ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ นับเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และสร้างโลกที่มีความยั่งยืนมากขึ้น
กรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) แห่งสหประชาชาติ ได้เปิดเผยรายงานพิเศษว่าด้วยผลกระทบเมื่อโลกร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม โดยรายงานชี้ให้เห็นว่า การจำกัดไม่ให้โลกร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ไม่เพียงมีประโยชน์ต่อประชากรโลกและระบบนิเวศทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดสังคมที่ยั่งยืนและมีความเท่าเทียมมากขึ้นด้วย ซึ่งตรงข้ามกับการปล่อยให้โลกร้อนขึ้น 2 องศาเซลเซียส
รายงานยังเน้นย้ำว่า หากต้องการจำกัดไม่ให้โลกร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เราจำเป็นต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่าง “รวดเร็วและกินวงกว้าง” ทั้งในด้านที่ดิน พลังงาน อุตสาหกรรม และเมือง โดยมนุษย์ต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิลดลงราว 45% ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับปี 2553 และจะต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
การยกระดับการใช้พลังงานสะอาด การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและพลังงาน รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เป็นพื้นฐานสำคัญในการตอบสนองต่อวิกฤตพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส
หัวเว่ย และ เป่าเฟิง กรุ๊ป ต่างใช้แนวทางเชิงรุกในการจัดการปัญหาต่าง ๆ เช่น การขาดแคลนพลังงาน มลพิษ และการทำลายสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเชื่อมั่นในพลังของเทคโนโลยี ดังนั้น พันธมิตรทั้งสองรายจึงลงมือตอบสนองเสียงเรียกร้องจากทั่วโลกที่ต้องการระบบพลังงานที่สะอาดและมีประสิทธิภาพ
ในอดีต เขตใหม่ปินเหอซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำฮวงโหในเขตปกครองตนเองหนิงเซียะ มีระบบนิเวศอันเลวร้ายเพราะมีทะเลทรายขนาดใหญ่
ในปี 2557 บริษัท เป่าเฟิง กรุ๊ป ได้เริ่มปรับปรุงพื้นที่ทะลทรายขนาด 107 ตารางกิโลเมตร ด้วยการปลูกต้นอัลฟัลฟาเพื่อปรับปรุงดิน จากนั้นบริษัทได้เริ่มปลูกโกจิเบอร์รี่ ซึ่งเป็นเกษตรกรรมที่มีประวัติยาวนานถึง 1,000 ปีในหนิงเซียะ โดยการปลูกโกจิเบอร์รี่ได้ช่วยฟื้นฟูทะเลทรายอันแห้งแล้งให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
เพื่อใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากทรัพยากรดินที่ธรรมชาติให้มา หัวเว่ยได้สนับสนุนเป่าเฟิง กรุ๊ป ในการสร้างระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เหนือพื้นที่ปลูกโกจิเบอร์รี่
พื้นที่ปลูกโกจิเบอร์รี่และระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อัจฉริยะผสานกันอย่างลงตัว โดยประกอบด้วยชั้นดินที่อุดมไปด้วย “ทับทิมกินได้” ปกคลุมด้วยทะเลแผงเซลล์แสงอาทิตย์สีคราม นับเป็นการใช้ที่ดินแบบผสมผสานรูปแบบใหม่ระหว่างสองอุตสาหกรรมที่เติมเต็มซึ่งกันและกัน นั่นคือ เกษตรกรรมและพลังงานแสงอาทิตย์ อันเป็นแม่แบบที่นำไปสู่การพลิกโฉมการปลูกโกจิเบอร์รี่และการผลิตพลังงานใหม่ในหนิงเซียะ
ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 1 GWp จะครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 20 ตารางกิโลเมตร ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 640 MW ก็สร้างเสร็จและเชื่อมกับโครงข่ายไฟฟ้าแล้ว ก่อเกิดเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่มีระบบติดตามดวงอาทิตย์อัจฉริยะ
โซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์อัจฉริยะของหัวเว่ยใช้เทคโนโลยีติดตามดวงอาทิตย์อัตโนมัติแบบแกนเดี่ยวแนวนอน ทำให้แผงเซลล์แสงอาทิตย์สามารถติดตามดวงอาทิตย์ได้เหมือนดอกทานตะวัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอย่างมากเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วไป
สถิติจนถึงปัจจุบัน
การติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ช่วยลดการระเหยของความชื้นในดินอย่างมีประสิทธิภาพราว 30%-40% พื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น 85% ซึ่งช่วยปรับปรุงสภาพอากาศในพื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ
โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป่าเฟิงผลิตไฟฟ้าได้ 3.875 พันล้าน kWh (*นับตั้งแต่เชื่อมกับโครงข่ายไฟฟ้าจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2563) และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1.841 พันล้านกิโลกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 80 ล้านต้น
ลดการปล่อยก๊าซได้มหาศาลในแต่ละปี
เมื่อโครงการแล้วเสร็จ คาดว่าจะช่วยลดการใช้ถ่านหิน 557,600 ตัน ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 1.695 ล้านตัน ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ 51,000 ตัน ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ 26,000 ตัน และฝุ่น 462,000 ตันต่อปี อันจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถด้านสิ่งแวดล้อมราว 2.23 ล้านตันต่อปี เพื่อรองรับการเติบโตของภาคพลังงานในหนิงเซียะในอนาคต
หัวเว่ยและเป่าเฟิงเป็นผู้พลิกโฉมการปลูกโกจิเบอร์รี่และการผลิตพลังงานใหม่ในหนิงเซียะ ซึ่งก่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยี อุตสาหกรรม ธุรกิจ และโมเดลใหม่อย่างรวดเร็ว โดยโมเดลการใช้ที่ดินแบบผสมผสานระหว่างเกษตรกรรมกับการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ ไม่เพียงนำวิถีชีวิตใหม่มาสู่หนิงเซียะเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างระบบนิเวศใหม่ที่มนุษย์และธรรมชาติอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน พร้อมเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลกของเรา
พนักงานของฟาร์มเป่าเฟิง กล่าวว่า “เมื่อมาถึงที่นี่ครั้งแรก ผมต้องการช่วยเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่นี่เท่านั้น แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีการปลูกโกจิเบอร์รี่ควบคู่กับการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งมีประโยชน์ต่อเกษตรกรในพื้นที่ด้วย”
ชาวบ้านในหนิงเซียะ กล่าวว่า “พื้นที่นี้เคยแห้งแล้ง แต่หลังจากที่เราปลูกโกจิเบอร์รี่และติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ เราก็มีงานทำตลอดทั้งปีและมีชีวิตดีขึ้นมาก”
โซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์อัจฉริยะของหัวเว่ยใช้เทคโนโลยีเพื่อปกคลุมทะเลทรายด้วยความเขียวขจีและมอบชีวิตใหม่ให้กับหนิงเซียะ ทั้งนี้ หัวเว่ยและเป่าเฟิงจะเดินหน้าใช้โมเดลเกษตรกรรม-พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อผลิตพลังงานสะอาดและปรับปรุงสภาพอากาศในพื้นที่ทะเลทรายต่อไป