ชี้ทางรวย! ปลูก”เมล่อน” พืชทางเลือกกำไรดี ปลูกได้ตลอดปี สร้างกำไรได้กว่า 35,000 บาท


นายพลเชษฐ์ ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึง พืชทางเลือกที่น่าสนใจ สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี คือ “เมล่อน” ที่ถือเป็นพืชทางเลือกที่เกษตรกรนิยมปลูกมากที่สุดในอำเภอเมืองกาญจนบุรี

เนื่องจาก เมล่อน เป็นพืชที่เพาะปลูกง่าย ปลูกได้ตลอดทั้งปี สามารถปลูกได้ทั้งในโรงเรือนและกลางแจ้ง ใช้เครื่องมือทางการเกษตรและน้ำน้อย รวมถึงใช้พื้นที่ปลูกไม่มาก แต่ให้ผลตอบแทนต่อพื้นที่สูงและเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งตลาดที่สำคัญ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า ร้านขายของฝาก และขายทางออน์ไลน์

 

 

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 10 จังหวัดราชบุรี (สศท.10) ได้เผยถึงการลงพื้นที่เพื่อสัมภาษณ์ นายอาทิตย์ นิยมวงษ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจผู้ปลูกเมล่อน สวนกิตติยาฟาร์ม ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี ซึ่งมีสมาชิกจำนวน 7 ราย พื้นที่เพาะปลูกจำนวน 37 ไร่ พบว่า เกษตรกรนิยมปลูกเมล่อนพันธุ์กรีนเน็ต พอทออเร้นจ์ และโกลเด้นควีน มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 18,000 บาท/รอบ/โรงเรือน เริ่มติดผลเมื่อมีอายุประมาณ 35 – 40 วัน ระยะเวลาเก็บเกี่ยว 75-80 วัน ให้ผลผลิตเฉลี่ย 1-1.5 ตัน/รอบ/โรงเรือน ผลตอบแทนสุทธิ (กำไร) เฉลี่ย 35,000 บาท/รอบ/โรงเรือน

 

 

สำหรับราคาขายจะแยกตามเกรดของผลผลิต ซึ่งเกรด A ราคาขายอยู่ที่ 60-85 บาท/กก. เกรด B ราคาขายอยู่ที่ 40 บาท/กก. ส่วนเกรด C ราคาขายอยู่ที่ 25 บาท/กก. ด้านการเพาะปลูก เกษตรกรจะปลูกในโรงเรือนขนาด 5×40 เมตร มีจำนวน 55 โรงเรือน และกำลังขยายเพิ่มอีก 5 โรงเรือน เป็น 60 โรงเรือน สามารถปลูกเมล่อนได้จำนวน 800 ต้น/โรงเรือน มีผลผลิตจำหน่าย 5,000 – 8,000 กิโลกรัม/สัปดาห์ ซึ่งข้อดีของการปลูกในโรงเรือน คือ สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ลดความเสี่ยงจากโรคและแมลงได้ ทำให้สามารถลดต้นทุนการใช้สารเคมีและปัจจัยการผลิตอื่นๆ อีกทั้ง ยังลดความเสี่ยงจากสภาพแวดล้อม เช่น น้ำค้าง ฝนตกหนัก และแสงแดดจัด

 

 

ทั้งนี้ เมล่อนเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ในดินแทบทุกชนิดแต่ดินที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกมากที่สุด คือ ดินร่วนปนทรายส่วนสภาพอากาศที่เหมาะสม คือ อากาศอบอุ่น มีแสงแดดเพียงพอและความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ นอกจากนี้ การปลูกเมล่อนในฤดูร้อน ผลจะสุกเร็วกว่าในฤดูหนาว เมื่อผลมีขนาดเท่าไข่ไก่จะเริ่มทำการห่อผล หลังจากห่อผลประมาณ 1 เดือน ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ส่วนการตัดผลเมล่อน นอกจากตัดขั้วติดมาแล้วยังต้องตัดให้ติดส่วนของกิ่งแขนงย่อยออกมาด้วย โดยให้ติดเป็นรูปตัว T หลังจากเก็บเกี่ยวสามารถเก็บรักษาผลผลิตได้ประมาณ 15 – 20 วัน นอกจากนี้ หากต้องการให้เมล่อนมีความหวานมากขึ้น ควรงดการให้น้ำก่อนการเก็บเกี่ยวประมาณ 5 วัน

ด้านนางจินตนา ปัญจะ ผู้อำนวยการ สศท.10 กล่าวเสริมว่า ในสภาพภูมิประเทศของประเทศไทย การผลิตเมล่อนให้ได้คุณภาพสูงนั้น จำเป็นต้องมีการดูแลเอาใจใส่ในการเพาะปลูกเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและเพียงพอต่อความต้องการของตลาด หากพิจารณาถึงด้านการตลาด กลุ่มเกษตรกรจะจำหน่ายผลผลิตให้กับ Tops supermarket ซึ่งมีความต้องการผลผลิต ไม่จำกัด โดยจะส่งผลผลิตให้ประมาณ 5,000 กิโลกรัม/สัปดาห์ และส่งร้านขายของฝากในจังหวัดและต่างจังหวัด อีกทั้ง ยังมีพ่อค้าทั่วไปมารับซื้อผลผลิตถึงพื้นที่อีกด้วย

 

 

นอกจากนี้ ยังมีการจำหน่ายปลีกหน้าร้านชื่อ โกดังเมล่อน และทางออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊ก ป๋องเมล่อน และ Pum Puangmee โดยได้รับผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งการขายออนไลน์จะขายได้ราคาดีกว่าการขายส่ง แต่ปริมาณน้อยกว่า จึงต้องขายควบคู่กันเพื่อกระจายความเสี่ยง (สัดส่วนการขายส่งร้อยละ 50 ส่งพ่อค้าทั่วไป ร้อยละ 20 ขายหน้าร้าน และออนไลน์ร้อยละ 20 และส่งร้านขายของฝากร้อยละ 10 ของผลผลิต)

เกษตรกรหรือท่านใดที่สนใจข้อมูลการผลิตและการตลาดเมล่อนในจังหวัดกาญจนบุรี สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สศท.10 โทร. 0 3233 7951 หรืออีเมล [email protected]

หรือสามารถขอคำปรึกษา นายอาทิตย์ นิยมวงษ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจผู้ปลูกเมล่อน สวนกิตติยาฟาร์มตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี โทร. 08 1019 5674