Private Brand มาแรงในแอฟริกาใต้ กลยุทธ์ใหม่ค้าปลีกยุคประหยัด

ปัจจุบัน ร้านค้าปลีกรายใหญ่ในแอฟริกาใต้หันมาให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ฉลากส่วนตัว (Private Brand) มากขึ้น โดยเฉพาะในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขายได้รวดเร็ว (Fast-moving consumer goods: FMCG) การเติบโตของตลาดนี้เป็นผลมาจากปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ข้อจำกัดด้านกำลังซื้อของผู้บริโภค และแนวโน้มพฤติกรรมของนักช้อปที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของเงินที่จ่ายไป โดยไม่ต้องการลดทอนคุณภาพสินค้า

 

ข้อได้เปรียบของแบรนด์ฉลากส่วนตัว

ร้านค้าปลีกที่พัฒนา Private Brand ของตนเองมีข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์หลายประการ ได้แก่:

  • ลดต้นทุนการผลิตและการดำเนินงาน: การผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเองช่วยลดต้นทุนด้านซัพพลายเชนและเพิ่มอัตรากำไร
  • สร้างความภักดีของลูกค้า: สินค้าที่มีคุณภาพสูงในราคาประหยัดช่วยให้ผู้บริโภคกลับมาซื้อซ้ำ
  • ความร่วมมือกับผู้ผลิตในระยะยาว: การเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตโดยตรงช่วยให้สามารถควบคุมคุณภาพสินค้าได้ดีขึ้น
  • บริหารจัดการสินค้าคงคลังได้มีประสิทธิภาพ: ร้านค้าปลีกสามารถวางแผนการสต็อกสินค้าและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ง่ายขึ้น

 

ตัวอย่างร้านค้าปลีกรายใหญ่และแบรนด์ฉลากส่วนตัวในแอฟริกาใต้

  • Woolworths – แบรนด์ Woolworth
  • ShopRite – แบรนด์ RiteBrand
  • Checkers – แบรนด์ Forage and Feast, Foodie, Simple Truth, Oh My Goodness!
  • Pick n Pay – แบรนด์ No Name และ Pick n Pay
  • Spar – แบรนด์ Spar และ SaveMor
  • Food Lovers Market – แบรนด์ Food Lovers
  • Clicks – แบรนด์ Clicks (สินค้าเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม)
  • Dischem – แบรนด์ Dischem (สินค้าเภสัชกรรมและสุขภาพ)

 

การเติบโตของ Private Brand และกลยุทธ์ของ Walmart ในแอฟริกาใต้

การยอมรับสินค้า Private Brand ในแอฟริกาใต้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด กลุ่ม Massmart ซึ่งถูก Walmart เข้าควบกิจการในปี 2011 ได้ประกาศแผนขยาย Private Brand ของตนเองผ่านซุปเปอร์มาร์เก็ตในเครือ เช่น Makro (22 สาขา) และ Game (107 สาขา) รวมถึงร้านค้าปลีกเครื่องใช้ในบ้านอย่าง Builder (104 สาขา) โดย Walmart ใช้กลยุทธ์การนำแบรนด์ Private Brand จากต่างประเทศเข้ามา เพื่อสร้างความหลากหลายของสินค้า ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านราคา

 

แนวโน้มและโอกาสสำหรับผู้ผลิตไทย

ตลาด FMCG ในแอฟริกาใต้มีการแข่งขันสูง ส่งผลให้ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่หันมาพัฒนา Private Brand มากขึ้น เพื่อควบคุมต้นทุนและตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าคุณภาพดีในราคาประหยัด สินค้าจากประเทศไทยที่มีศักยภาพในการเข้าสู่ตลาด Private Brand ของร้านค้าปลีกแอฟริกาใต้ ได้แก่ ปลากระป๋อง, กะทิกระป๋อง, ซอสและเครื่องปรุงรส, เครื่องแกงและวัตถุดิบอาหารไทย

 

การที่สินค้า “Made in Thailand” สามารถเข้าสู่ตลาด Private Brand ของแอฟริกาใต้ได้ ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ส่งออกไทยที่ต้องการขยายตลาด โดยการสร้างความร่วมมือกับผู้ค้าปลีกในแอฟริกาใต้ อาจเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าในภูมิภาคนี้

 

แบรนด์ฉลากส่วนตัวกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในแอฟริกาใต้ เนื่องจากความต้องการสินค้าคุณภาพดีในราคาประหยัดของผู้บริโภค ร้านค้าปลีกรายใหญ่ต่างมุ่งเน้นการพัฒนา Private Brand ของตนเองเพื่อลดต้นทุน สร้างความแตกต่างในตลาด และเพิ่มความภักดีของลูกค้า แนวโน้มนี้สร้างโอกาสสำหรับผู้ผลิตไทยที่ต้องการเข้าสู่ตลาดแอฟริกาใต้ผ่านช่องทาง Private Brand ของซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่

 

ข้อมูลจาก: สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพริทอเรีย

 

Smart Ads