สินค้า OTOP

เศรษฐกิจดิจิทัลอีสานโตด้วย ‘พลังสินค้า OTOP บน TikTok Shop’จากสินค้าชุมชนสู่ไวรัลออนไลน์

ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงท้าทาย คนรุ่นใหม่ของอีสานกำลังสร้าง “ทางรอด” ให้กลายเป็น “ทางรุ่ง” พวกเขากำลังสร้าง “ธุรกิจ” จากห้องครัวของแม่ จากสูตรแจ่วบองของยาย และเปลี่ยนแพลตฟอร์มความบันเทิงให้กลายเป็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจผ่าน TikTok Shop และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนยุคใหม่

 

ตัวเลขที่เติบโตของจำนวนสินค้า OTOP ภาคอีสานถึง 326% จากปี 2023 ถึง 2025* ไม่ใช่แค่สถิติธรรมดา แต่เป็นเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในภาคอีสาน เมื่อผู้ประกอบการ OTOP เปลี่ยนจากการ “รอลูกค้า” เป็นการ “หาลูกค้า” ผ่านจอมือถือ หม่ำเนื้อชัยภูมิที่เคยขายแค่ในตลาดท้องถิ่น วันนี้ไปถึงมือคนกรุงเทพฯ ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ที่เคยจำหน่ายแค่หน้าร้าน ตอนนี้ขายผ่านไลฟ์สดได้เงินหลักแสน ผ้าฝ้ายทอมือมุกดาหารที่เคยเป็นแค่ของฝาก กลายเป็นแบรนด์ออนไลน์ที่มียอดสั่งตลอดปี นี่คือพลังดิจิทัลที่กำลังเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับเศรษฐกิจภาคอีสาน

 

เศรษฐกิจดิจิทัลที่เริ่มจากใจกลางอีสาน

ใครจะคิดว่าแหนมหมูแท่งจากชัยภูมิจะสร้างรายได้ให้กับผู้ขายต่อเดือนถึงเจ็ดหลัก หรือแม่ค้าปลาร้าหอมที่สร้างยอดขายต่อเดือนกว่าหกหลัก รวมถึงข้าวหอมมะลิแท้จากสุรินทร์ที่มียอดขายกว่า 800,000 บาท จากการไลฟ์สด 136 ครั้ง และมีระยะเวลาไลฟ์รวม 155 ชั่วโมง ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้* เหล่านี้คือตัวอย่างของความสำเร็จที่กำลังเกิดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ซึ่งผู้ประกอบการ OTOP กำลังใช้ TikTok Shop เป็นเครื่องมือในการยกระดับชุมชนและสร้างรายได้ที่มั่นคง

 

ขณะที่เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยคาดการณ์ว่าจะเติบโต 7.3% ในปี 2025 โดยมีมูลค่าประมาณ 140.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การเติบโตแบบก้าวกระโดด 326% ของจำนวนสินค้า OTOP บน TikTok Shop ภายใน 2 ปี ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเศรษฐกิจชุมชนสามารถเป็นส่วนสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลระดับประเทศได้ และเป็นเสียงสะท้อนของความเข้มแข็งของเศรษฐกิจรากหญ้าที่กำลังปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว

 

พลังแห่งไลฟ์: อาวุธลับที่เปลี่ยนเกม

หากการนำสินค้าขึ้นแพลตฟอร์มคือ ‘การเปิดประตูสู่โอกาส’ การไลฟ์ก็คือทางด่วนที่นำไปสู่ความสำเร็จ ข้อมูลเชิงลึกเผยให้เห็นความจริงที่น่าทึ่งว่า ผู้ขายที่ทำการไลฟ์สด มียอดคำสั่งซื้อเฉลี่ยต่อวันสูงกว่าผู้ขายที่ไม่ได้ไลฟ์สดถึง +1,156% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้

 

ทำไมถึงต่างกันขนาดนี้? คำตอบคือ “Trust” และ “Engagement”

การไลฟ์สดทลายกำแพงความไม่ไว้ใจของลูกค้าในโลกออนไลน์ เปลี่ยนการซื้อขายที่ไร้ตัวตน ให้กลายเป็นการสนทนาแบบ real-time ลูกค้าได้เห็นหน้าคนขาย ได้เห็นโปรดักต์แบบ 360 องศา ได้ถามคำถามและได้รับคำตอบทันที มันคือการสร้าง human touch และสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า

 

โดยจำนวนผู้ขายที่หันมาไลฟ์สดในปี 2568 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง +194.66%* โดยประเภทสินค้าหมวดหมู่ที่ผู้ขายไลฟ์มากที่สุดคือ อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าแฟชั่น และสิ่งทอ* ซึ่งเป็นหมวดหมู่หลักที่ครองใจผู้ชมในไลฟ์สตรีมมิ่งอย่างสม่ำเสมอ โดย สุรินทร์ เลย มุกดาหาร เป็นจังหวัด Top 3 ที่ผู้ขายไลฟ์ และสร้างรายได้มากที่สุดในภาคอีสาน ด้วยการเล่าเรื่องที่มีเสน่ห์ และสร้างความไว้วางใจก็สามารถสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งได้

 

สินค้า Top 3 ของผู้ประกอบการ OTOP ที่่ขายดีที่สุดของภาคอีสาน

  • แหนมหนังหมูแท่งพร้อมรับประทาน: รสชาติอร่อย
  • ปลาร้าหอมทรงเครื่อง: หอมกลิ่นข้าวคั่ว ใส่ส้มตำหรือแกงก็อร่อย
  • หม่ำเนื้อ: มรดกการถนอมอาหารของนายพรานที่กลายเป็นสินค้าขายดี

 

เสน่ห์ของ OTOP ภาคอีสาน ‘ความเป็นตัวตน’ ที่สร้างเศรษฐกิจชุมชนดิจิทัลอย่างแท้จริง

โอทอปบ้านซ่ง – ต่อยอด ‘วิถีชีวิต’ ให้เป็น ‘ธุรกิจ’ เริ่มจากความเห็นใจ สู่การสานต่อ ‘ความภูมิใจ’ ของชาวอีสาน

 

ร้านโอทอปบ้านซ่งไม่ใช่แค่ร้านขายของฝากทั่วไป แต่คือร้าน OTOP เบอร์หนึ่งของจังหวัดมุกดาหาร และยังเป็นแหล่งรวมผลงานสร้างสรรค์ที่มาจากชุมชน เพราะทางร้านเปิดโอกาสให้ชาวบ้านนำสินค้าที่ผลิตเองมาวางจำหน่ายโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เป็นการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่มรดกทางวัฒนธรรม แต่ยังได้กลายเป็น ‘พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ’ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนในชุมชน

 

“พวกเราไม่ได้แค่ทอผ้า ขายเสื้อผ้า แต่พวกเรากำลังช่วยกันสืบสานภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทย เพื่อสร้างรากฐานและส่งต่อให้กับลูกหลานในอนาคต” คุณฟ้า-อนงค์นาถ น้อยทรง ทายาทโอทอปและจ้าของช่อง โอทอปบ้านซ่ง ผ้าฝ้ายทอมือมุกดาหาร กล่าว สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาภูมิปัญญาไทยไว้ในยุคดิจิทัล

 

(คุณฟ้า-อนงค์นาถ น้อยทรง ทายาทโอทอปและเจ้าของช่อง โอทอปบ้านซ่ง ผ้าฝ้ายทอมือมุกดาหาร)

 

เรื่องราวเริ่มต้นจากความเห็นใจที่จุดประกายไอเดียการทำธุรกิจเพื่อชุมชน “ตอนแรกที่บ้านขายเสื้อลูกไม้ที่เป็นผ้าทอโรงงาน แต่พอย้ายมาอยู่ที่มุกดาหาร วันหนึ่งเจอคุณยายอายุมาก หอบผ้าฝ้ายทอมือมาขาย บอกว่าไม่มีที่จะขาย อยากได้เงินไปจุนเจือครอบครัว ทำให้คุณแม่เกิดความเห็นใจจึงรับซื้อไว้” คุณฟ้าเล่าถึงจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนทิศทางการทำธุรกิจครั้งสำคัญ

 

จากประสบการณ์ครั้งนั้น กลายเป็นไอเดียพัฒนาและออกแบบเสื้อผ้าฝ้ายขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันนี้ขายผ้าฝ้ายเป็นหลักเกือบ 100% คุณฟ้ามองว่าผ้าฝ้ายทอมือด้วยกี่โบราณเป็นผลงานระดับ masterpiece ที่ต้องอาศัยทักษะการทอและความประณีตขั้นสูง เธอจึงนำมาผนวกเข้ากับลวดลายการออกแบบที่เป็นอัตลักษณ์ของทางร้าน ตกแต่งด้วยกระดุมปั๊ม ผสมผสานความดั้งเดิมกับความร่วมสมัยปรับแต่งเป็นสไตล์ “ผ้าต่อแต่งลาย”

 

“ร้านเราเปิดมาประมาณ 20 กว่าปีแล้ว แต่เริ่มจับผ้าฝ้ายจริงจังประมาณ 10 ปี ตอนนี้ทำตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ จุดเด่นสำคัญคือการสร้างกลุ่มทอผ้าของตนเองขึ้นมา ช่างทอส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 50-80 ปี ทั้งหมดเป็นคนในชุมชน เพราะที่มุกดาหาร 70% ของทุกบ้านต้องมีกี่ทอผ้า การทอผ้าเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้าน”

 

 

เสียงกี่ทอที่เกือบหายไป จนมาเจอกับโควิด

แม้ผ้าฝ้ายทอมือจะเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต แต่ภูมิปัญญานี้กำลังเผชิญความท้าทาย “เด็กรุ่นใหม่ๆ ไม่อยากทำงานทอผ้า มองว่ารายได้น้อย เลยเลือกไปทำงานโรงงานกันหมด ช่างทอก็มีคนทำน้อยลง หมดรุ่นนี้ก็คือความท้าทายมาก” เธอเล่าว่าผ้าหนึ่งเมตรมีราคารับซื้อเริ่มต้นตั้งแต่ราว 80 บาท จนถึงหลายร้อยบาท ขึ้นอยู่กับลวดลายและความยากง่าย แต่เบื้องหลังราคานั้นคือชั่วโมงของความพยายาม ความชำนาญ และความรักในงานทอที่สั่งสม และส่งต่อมาหลายชั่วอายุคน

 

“ก่อนหน้านี้เราเน้นขายผ่านหน้าร้านเป็นหลัก โดยออกงานร่วมงานกับกรมพัฒนาชุมชน แต่พอโควิดมา งานทุกงานถูกยกเลิก เราเลยต้องพลิกวิกฤตเป็นโอกาส หันมาขยายสู่ตลาดออนไลน์และก้าวเข้าสู่วงการ Shoppertainment กับ TikTok Shop”

 

ใช้ TikTok Shop เป็น ‘เวทีเล่าเรื่องราว’ มากกว่าแค่การขาย

“เพิ่งเริ่มทำ TikTok ไม่ถึงปี ก็สามารถสร้างรายได้ต่อเดือนระดับเลขหกหลัก นับว่าเกินกว่าที่คาดมากค่ะ” คุณฟ้าเล่า “คลิปแรกๆ ถ่ายเองง่ายๆ ด้วยมือถือเครื่องเดียว ไม่มีการ set อะไรเป็นพิเศษ แต่เน้นสื่อสารด้วยความจริงใจ หลักๆ ใช้ Short Video ทำคอนเทนต์ให้เห็นเบื้องหลังการทำงานของพี่ๆ ทั้งช่างเย็บ ช่างทอ หรือวิธีการย้อมผ้า และโปรโมทสินค้าเพื่อรับออเดอร์”

 

“Short Video ช่วยให้สามารถบรรยายสรรพคุณสินค้า สร้างเรื่องราวให้ลูกค้าได้รับรู้ที่มาที่ไป ช่วยปิดการขายได้เร็วขึ้น เพราะลูกค้าอยากได้ตอนนั้นเลยขณะชมคลิป เราก็ติดตะกร้าต่อได้เลยจบครบที่เดียว” เมื่อเห็นเบื้องหลังการทำงานของชุมชน ลูกค้าเกิดความรู้สึกอยากอุดหนุน ยอดขายจึงดีขึ้นอย่างชัดเจน

 

 

TikTok Shop ช่วยเปลี่ยนเกมผ้าไทยในโลกดิจิทัล

“TikTok Shop ช่วยให้เราเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้นจาก การเล่าเรื่องราว ลูกค้าเห็นสินค้าจริง ถาม-ตอบกันตรงนั้น สร้างความไว้วางใจได้ทันที

 

ระบบหลังบ้านของ TikTok Shop ก็ช่วยลดภาระได้มาก ระบบจัดส่งและการชำระเงินก็ง่าย และราบรื่น สิ่งที่พิเศษที่สุดคือการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ไม่เคยคิดว่าจะเข้าถึงได้ เช่น กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เคยคิดว่าผ้าไทยใส่ไม่เท่ แต่พอเห็นคลิปการทอ เห็นลวดลายการออกแบบ ก็ซื้อไปใส่ และถ่ายรูปโพสต์อย่างภูมิใจ”

 

“หัวใจของ OTOP คือ ‘ภูมิปัญญา’ หัวใจของ TikTok Shop คือ ‘สร้างการเข้าถึง’ เป็นสะพานเชื่อมต่อส่งเสริมซึ่งกันและกันที่ดีเยี่ยม”

 

ปรากฏการณ์ “ผ้าทอ 1 ผืน” ส่งต่อรายได้ไป “ทั้งชุมชน”

“ยิ่งพอเข้าสู่ตลาดออนไลน์ การทอผ้ากลับกลายเป็นอาชีพที่มั่นคงของหลายครอบครัว จากเดิมที่ทำเป็นงานอดิเรกหลังทำไร่ทำนา แต่ปัจจุบันทำตามยอดออเดอร์ที่เข้ามา แต่สิ่งสำคัญคือรายได้นี้ไม่ได้ถูกกระจุกตัวอยู่ที่ใครคนเดียว แต่กระจายต่อไปสู่คนในชุมชนอย่างทั่วถึง”

 

คุณฟ้ามองว่าผ้าทุกผืนไม่ได้เพียงแค่สร้างรายได้ให้กับร้านเท่านั้น แต่ยังสร้างงาน สร้างอาชีพที่ยั่งยืนให้กับชุมชน ปัจจุบันทางร้านทำงานร่วมกับช่างทอผ้ามากกว่า 20 ชีวิต ช่างเย็บผ้า 15 คน และทีมงานแอดมินหน้าร้าน 5 คน รวมทั้งหมดกว่า 40 ครอบครัวที่มีรายได้จากเสื้อผ้าบ้านซ่ง

 

 

 

เอกลักษณ์ที่แตกต่าง: “ผ้าต่อแต่งลายที่ทันสมัย

“ที่ร้านเราไม่ได้ตัดเสื้อสีเดียว รายเดียว ยกโหล แต่จะตัดแนวผสมผสานลวดลายสีอื่นๆ เข้าไป เน้นเป็นผ้าต่อแต่งลายร่วมสมัย และบางชิ้นมีเพียงหนึ่งเดียวในโลก” คุณฟ้าอธิบาย “เราต้องคิดอยู่เสมอว่าทำยังไงให้เสื้อ OTOP ไม่เชย ต้องมีไอเดียหรือลายใหม่ๆ ที่อินเทรนด์เข้ามาในหัวเสมอ”

 

นอกจากเสื้อผ้าแล้ว ยังมีสินค้าอื่นๆ ทำจากเศษผ้า “เราไม่ต้องการให้มีอะไรถูกทิ้งไปเปล่าโดยประโยชน์ แม้แต่เศษผ้าเล็กๆ ก็จะถูกนำมาผลิตเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น พวงกุญแจ ยางรัดผม ดอกมุกดาสวรรค์ที่เป็นผลงานที่น่าภูมิใจ” การทอผ้ายังใช้เทคนิค “การทอเกาะหรือล้วง” ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของบ้านซ่ง

 

Positive Impact ที่ยิ่งใหญ่กว่ายอดขาย

ความสำเร็จของร้านโอทอปบ้านซ่งเป็นมากกว่าเรื่องของตัวเลขและรายได้ “เด็กรุ่นใหม่เริ่มกลับมาสนใจผ้าฝ้ายทอมืออีกครั้ง มีคนอายุ 20 กว่าทักมาถามว่าอยากมาเรียนทอผ้าได้ไหม มันเป็นเสมือนความภูมิใจเล็กๆ ที่มอบพลังที่ยิ่งใหญ่ให้เรา”

 

ชาวบ้านมีเงินส่งลูกหลานเรียน ปลูกบ้านหลังใหม่ ส่วนเด็กๆ ก็สนใจและมองว่าอาชีพนี้มีอนาคต โดยใช้ฝีมือคน ที่ AI ก็แทนไม่ได้ คนในหมู่บ้านก็ทำงานร่วมกันเป็นทีม มีการใช้ฝ้ายออร์แกนิก สีธรรมชาติ ไม่มีสารเคมี เป็นความมุ่งมั่นที่แท้จริงในการรักษาสิ่งแวดล้อม”

 

 

Quick Win: ความจริงใจและการเล่าเรื่องราว

“คลิปที่ปังที่สุดไม่ใช่คลิปที่ถ่ายได้สวยที่สุด แต่เป็นคลิปเล่าเรื่องที่จริงใจ แสดงถึงกระบวนการจริง คนดูจะรู้ว่าเราทำจากใจ” และต้องเปลี่ยนจากการขายสินค้าโดยตรง มาเป็น การขายเรื่องราว เน้นสร้างความรู้ คู่ความบันเทิง “เพราะคนไม่ได้แค่อยากซื้อชุดไปใส่อย่างเดียว แต่ซื้อเรื่องราวไปบอกเล่าต่อ ซื้อความภูมิใจ ซื้อการเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย”

 

เติบโตไปพร้อมกับชุมชน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

“เราอยากให้ชุมชนของเราเติบโตไปด้วยกัน เราไม่ได้แค่อยากขายผ้าหรือทำกำไรเพียงอย่างเดียว และอยากดึงคนรุ่นใหม่ๆ ให้กลับมาพัฒนาบ้านซ่งของเราด้วยกัน”

 

เป้าหมายในอนาคตมีตั้งแต่ขยายจำนวนช่างทอ เปิดร้านให้เป็นแหล่งเรียนรู้สอนทอผ้าให้คนรุ่นใหม่ฟรี ตั้งกองทุนชุมชน จัดหาประกันสังคมและสวัสดิการให้ช่างทอผ้า และสร้างค่านิยมด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม “ทุกออเดอร์ที่เพิ่มขึ้น เท่ากับเราได้สร้างงานสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างโอกาสให้ทุกๆ คน”

 

หนึ่งในภารกิจของคุณฟ้าคือการเป็น “พี่เลี้ยง” ถ่ายทอดความรู้ “ฟ้าสามารถสอนทำตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต และสอนทำตลาดออนไลน์ เป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดความรู้ สอนหมดทุกอย่างเพื่อสร้างชุมชนผู้ประกอบการ OTOP ให้เติบโตยิ่งๆ ขึ้นไป”

 

ฝากถึงคนรุ่นใหม่ และผู้ประกอบการ: “เรียนรู้ และลงมือทำเลย”

คุณฟ้าฝากถึงคนรุ่นใหม่ให้ลองกลับมาทำงานที่บ้านเกิดมากขึ้น มีรายได้ที่พอๆ กันกับทำงานที่เมืองหลวง แต่ได้อยู่กับครอบครัว ค่าครองชีพต่ำ และยังได้สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น สร้างงาน สร้างคุณค่าให้ตัวเอง

 

สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังลังเลในการทำธุรกิจออนไลน์ก็อยากให้เรียนรู้และลงมือทำไปพร้อมกัน “มีมือถือเครื่องเดียวก็ถ่ายคลิปได้แล้ว แสดงความเป็นตัวเอง ไม่ลอกเลียนแบบใคร หาจุดเด่นของเราให้เจอ การรอจนกว่าทุกอย่างจะพร้อมสมบูรณ์แบบอาจทำให้พลาดโอกาสดีๆ ที่เข้ามา”

 

หม่ำยิ่งเจริญ – โมเดล OTOP อีสาน 4.0 พาเศรษฐกิจชุมชนโตด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน และพลังของคอนเทนต์

 

คุณเศรษฐพล นิยมพงษ์ หรือคุณสา เจ้าของแบรนด์ และช่อง “หม่ำยิ่งเจริญ” เล่าเรื่องราวของ “หม่ำยิ่งเจริญ” ที่เริ่มต้นจากมรดกทางวัฒนธรรมของภาคอีสานที่เรียบง่าย คือการถนอมอาหารของของชาวอีสานมายาวนาน และเปลี่ยนให้เป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้วยพลังของคอนเทนต์

 

(คุณเศรษฐพล นิยมพงษ์ หรือคุณสา เจ้าของแบรนด์ และช่อง “หม่ำยิ่งเจริญ”)

 

โมเดล OTOP DIGITAL ของชุมชนบ้านเกิด

คุณสาเริ่มธุรกิจขายหม่ำจากหน้าร้านเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ทำให้หน้าร้านเปิดขายไม่ได้ คุณสาจึงหันมาบุกตลาดออนไลน์ ด้วยคุณภาพของสินค้าที่ใช้แต่ของดี เนื้อดี วัตถุดิบดี และคุณสาก็ได้พัฒนาสูตรมาโดยตลอด จึงทำให้หม่ำยิ่งเจริญเป็นกระแสไวรัลบน TikTok

 

“ปกติเราขายได้วันละ 200 กิโล ลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเป็นของฝาก และพบว่า TikTok Shop คือ “เกมเชนเจอร์” ที่สร้างยอดขายหลักให้ธุรกิจถึงเดือนละหกถึงเจ็ดหลัก ความสำเร็จที่สำคัญมาจากจุดแข็งของแพลตฟอร์มที่เน้นคอนเทนต์วิดีโอ และ Affiliate Creator ที่ผู้ประกอบการไม่ต้องลงทุนทำการตลาดเอง และมีโอกาสเข้าถึงผู้คนได้มหาศาล

“ถ้าวันไหนที่มีครีเอเตอร์ไลฟ์ยอดขายอยู่ประมาณวันละ 300-400 ออเดอร์ แต่ถ้าไม่มีคนไลฟ์มันก็จะอยู่ประมาณ 100-200” โดยสำหรับร้าน ‘หม่ำยิ่งเจริญ’ สัดส่วนรายได้จากครีเอเตอร์และการขายเองในช่องอยู่ที่ประมาณครึ่งต่อครึ่ง”

 

 

กดสูตรความสำเร็จ: Identity + ความจริงใจ + ประสบการณ์ลูกค้า

สินค้า OTOP มี ‘อัตลักษณ์ที่ชัดเจน’ เราต้องนำสิ่งนี้มาสร้างเป็นคอนเทนต์ที่มีเอกลักษณ์ คุณสาได้วางรากฐานของคอนเทนต์นี้ไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น คอนเทนต์เชิงวัฒนธรรมจึงไม่ใช่แค่การขาย “หม่ำ” แต่คือการขาย “ภูมิปัญญา” ที่อยู่เบื้องหลัง

 

“แทนที่จะพูดแค่ว่า “หม่ำของเราอร่อย” เราก็สร้างคอนเทนต์ที่เล่าเรื่องราวของ “หม่ำ” ที่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการกินของคนอีสาน เช่น การทำคลิปสั้นสอนวิธีนำหม่ำไปประกอบอาหารเมนูต่างๆ หรือการไลฟ์สดกินข้าวเหนียวกับหม่ำในบรรยากาศแบบอีสานแท้ๆ แบบจริงใจ

 

คอนเทนต์เหล่านี้ช่วยยกระดับสินค้าจาก “ของกิน” ให้กลายเป็น “ประสบการณ์” ลูกค้าไม่ได้ซื้อแค่หม่ำ แต่กำลังซื้อ “ความเป็นอีสาน” ที่พวกเขาอยากสัมผัส ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าทางอารมณ์ให้กับพวกเขา

 

พลังของคอนเทนต์ บน TikTok Shop ที่สร้างการเข้าถึงคนได้ไม่จำกัด

อะไรคือ “สูตรลับ” ที่ทำให้แบรนด์ท้องถิ่นปังได้ขนาดนี้? คุณสาบอกว่ามันคือ “พลังของคอนเทนต์” ที่เข้าถึงคนได้แบบไม่จำกัด และ Affiliate จาก TikTok Shop ที่สร้างยอดขายปังโดยที่แบรนด์ลงทุนน้อยมาก

 

นอกจากนี้ ปัจจัยที่ดึงดูดลูกค้าและช่วยให้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นคือคูปองที่สนับสนุนร้านค้า ขณะเดียวกันก็ได้รับความสะดวกสบายในการทำคอนเทนต์ โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมซับซ้อนบน TikTok Shop คุณสากล่าวว่า “ชอบฟีเจอร์ถ่ายทำอัตโนมัติที่รวดเร็ว ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาทำคอนเทนต์ แล้วเอาเวลาไปคิดเรื่องการพัฒนาสินค้าและการตลาด”

 

เติบโตและยั่งยืนไปกับชุมชน

วิสัยทัศน์ของคุณสาไม่ใช่แค่ “รวยเดี่ยว” แต่คือการ “โตยกทีม” คุณสาสร้างรายได้หมุนเวียนในชุมชนทุกวัน เช่น เมนูแจ่วบองทรงเครื่องเมนูเดียว คุณสาก็รับซื้อตะไคร้จากชาวบ้านวันละ 30 กิโลกรัม (กิโลละ 15 บาท) และใบมะกรูดอีกวันละ 3 กิโลกรัม (กิโลละ 60 บาท) เพื่อเป็นการอุดหนุนเกษตรกรในชุมชน และสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

 

คุณสายังมีแผนที่จะอัปเกรดร้านตัวเองให้เป็น “ฮับ OTOP ชัยภูมิ” เพื่อเป็นช่องทางให้เพื่อนบ้านกลุ่มอื่นๆ กระจายสินค้า เช่น กระติบข้าว หวด และงานจักสาน ที่ขายทั้งหน้าร้านและบน TikTok Shop ผลักดันให้สินค้าในชุมชนโตไปด้วยกัน

 

 

คุณสาเล่าว่าหัวใจของความยั่งยืนคือการ “สร้างงานที่บ้านเกิด” ปัจจุบันโรงงานของคุณสามีพนักงาน 20 ชีวิต ที่เป็นคนในพื้นที่ทั้งหมด มีฟาร์มวัวควายของตัวเองกว่า 30 ตัว ที่นา 50 ไร่ เพื่อผลิตข้าวเหนียวนึ่งขายเอง และนำรำข้าวที่สีได้กลับไปเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม เพื่อเป็นระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ยั่งยืน

 

การเติบโตของ OTOP ภาคอีสานที่ไปไกลกว่าตัวเลข

การเติบโตของ OTOP ภาคตะวันออกเฉียงเหนือบน TikTok Shop เป็นมากกว่าเรื่องของตัวเลขและรายได้ มันคือ “เรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงชีวิต ของการที่ภูมิปัญญาท้องถิ่นพบกับนวัตกรรม และของการที่ชุมชนรากหญ้าก้าวสู่เวทีโลก”

 

จากแหนมแท่งชัยภูมิ ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ ผ้าฝ้ายทอมือจากมุกดาหาร หม่ำเนื้อจากชัยภูมิ ทุกเรื่องราวพิสูจน์ว่าเมื่อเทคโนโลยีถูกใช้อย่างถูกทาง มันไม่ได้ทำลายสิ่งที่มีอยู่ แต่กลับช่วยขยายขีดความสามารถและเสริมสร้างคุณค่าของชุมชนที่มีอยู่แล้วให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

 

ปรากฏการณ์นี้เป็นเสียงสะท้อนที่ชัดเจนว่า ประเทศไทยคือดินแดนแห่งโอกาส และ TikTok Shop คือกุญแจที่ปลดล็อคศักยภาพอันไม่จำกัดของผู้ประกอบการไทยทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีรากฐานมาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมที่หลากหลาย