เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น

กดสูตรสุดปัง ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ ไลฟ์หนึ่งวันฟันรายได้หลายร้อยล้านบาท

ช่องทางการไลฟ์ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์กลายเป็นช่องทางหลักของพ่อค้า แม่ค้าในยุคสมัยนี้ แน่นอนว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาได้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เมื่อ ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการขายของออนไลน์ เมื่อไลฟ์แบบมาราธอน ทำรายได้ในแต่ละวันหลายร้อยล้านบาท

 

แม้ว่าเจ้าตัวจะมีปัญหาดรามา แต่ก็สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสกับการไลฟ์ขายสินค้าเพียงแค่ 4 วันที่ไลฟ์ทำรายได้ถึง 263 ล้านบาท จนกลายเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจในชวนพูดถึงในเชิงกลยุทธ์ที่ได้ผลลัพธ์ออกมาอย่างน่าตกใจเลยทีเดียว

 

Smartsme ได้รวบรวมเทคนิคการไลฟ์ของเจนนี่ที่น่าสนใจมาไว้ให้แล้ว

 

1.ไลฟ์แบบบ้านๆ

เรื่องที่เกิดขึ้นลบภาพความจำการไลฟ์ขายสินค้าว่าต้องมีโปรดักชันที่สวยงามออกไป เป็นการไลฟ์ผ่านโทรศัพท์มือถือ ไม่ต้องลงทุนเยอะ ใช้ความเรียล ความเป็นตัวของตัวเองออกมา แสดงความจริงใจกับลูกค้า

 

2.เจ้าของแบรนด์มาร่วมไลฟ์

เปิดโอกาสให้เจ้าของแบรนด์มาร่วมไลฟ์ เพราะหากเจ้าตัวไลฟ์ขายสินค้าทุกแบรนด์ที่เข้ามา ความน่าเชื่อถืออาจจะลดลง แต่การมีเจ้าของแบรนด์เข้ามาไลฟ์จะสร้างการมีส่วนร่วม เกิดความใกล้ชิดกับลูกค้า มีความเข้าใจกับตัวสินค้าได้ดีกว่า ดังนั้น เราจึงเห็นเจ้าของแบรนด์มาเอง ไม่ว่าจะเป็น เชน ธนา, ณวัฒน์ อิสรไกรศีล, ป๋อ ณัฐวุฒิ

 

3.แบรนด์เล็กมีโอกาสขายได้

ความได้เปรียบของการขายของคือหากเป็นแบรนด์ของคนมีชื่อเสียงย่อมสร้างการรับรู้ได้ดีกว่า แต่เจนนี่สามารถลดช่องว่างในเรื่องนี้ด้วยการนำแบรนด์ใหญ่ขึ้นไลฟ์ก่อน ในช่วงที่คนดูมีจำนวนมาก และค่อย ๆ สอดแทรกแบรนด์เล็กเข้าไป เพื่อสร้างจังหวะให้ลูกค้าได้รู้จักสินค้า รวมถึงไม่นำสินค้าประเภทเดียวกันมาไลฟ์ขายติดกัน ป้องกันไม่ให้เกิดความจำเจของไลฟ์

 

4.ไลฟ์แบบมาราธอน

การไลฟ์มาราธอนที่ยาวนานต่อเนื่องกว่า 14-18 ชั่วโมง กลายเป็นหัวใจหลักในการทำยอดขายระดับร้อยล้าน เพราะสามารถรองรับเจ้าของแบรนด์ได้จำนวนมาก โดยการไลฟ์ที่ยาวนานเสมือนเป็นการจัด “มหกรรมงานแฟร์ออนไลน์” ที่มีเจนนี่เป็นจุดศูนย์กลาง สร้างความตื่นตาตื่นใจว่าจะมีสินค้าอะไรมาขายบ้าง

 

5.สร้างโมเดลธุรกิจแบบ Win-Win

เจนนี่เปลี่ยนวิธีการจ้างไลฟ์ขายสินค้าจาก 1 แบรนด์ ชั่วโมงละ 2 แสนบาท มาเป็นรับจ้างไลฟ์แบรนด์ละ 10 นาที ราคา 50,000 บาท หากสามารถขายได้ 1,000 ออเดอร์ จะขอส่วนแบ่งออเดอร์ละ 50 บาท นอกเหนือจากค่าไลฟ์ รวมถึงหากออเดอร์หมดก่อนภายใน 10 นาที ก็จะมีการถามเจ้าของแบรนด์ต่อว่าจะจ้างต่อหรือไม่

แน่นอนว่าเมื่อกระแสมาดี เจ้าของแบรนด์ย่อมจ้างต่อ ทำให้ Win-Win กันทั้งสองฝ่าย สินค้าขายได้ ตัวเจนนี่ก็ได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น

 

สรุปได้ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นของเจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่นไม่ใช่การขายสินค้าแบบปกติ แต่นี่การจัด “อีเวนต์การตลาดทรงพลัง” ที่ใช้ชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ และกระแสเป็นหัวเชื้อ โดยรวบรวมแบรนด์จำนวนมากมาไว้ในที่เดียวและขายในระยะเวลานาน คือการเน้น ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่สูงมาก ผ่านแพลตฟอร์ม TikTok ที่เน้นการเข้าถึง สูง และสนับสนุนการขายผ่านตะกร้าสินค้าอย่างเต็มที่ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อความสำเร็จนี้