ธุรกิจไทยปี 2567 ครึ่งปีแรกอะไรเด่น ครึ่งปีหลังอะไรน่าห่วง
Smartsme จะสรุปให้ฟัง โดยอ้างอิงจากการวิเคราะห์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ในปี 2567 ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ แต่อาจมีความแตกต่างกันในรายละเอียดของแต่ละภูมิภาค โดย World Bank คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตประมาณ 2.6% ในปี 2567 ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2566 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.8% ในปี 2568
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2567 สามารถฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ การท่องเที่ยว และการส่งออก แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากหนี้ครัวเรือนที่สูง และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก โดยสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตประมาณ 2.5% ในปี 2567 ผ่านการขยายตัวของการส่งออก และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
ช่วงครึ่งปีแรก 2567 การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจมีจำนวน 46,383 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 145,079 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ธุรกิจภาคบริการ จำนวนการจัดตั้ง 26,479 ราย คิดเป็น 57.09% 2.ภาคขายส่ง/ขายปลีก จัดตั้ง 15,152 ราย คิดเป็น 32.67% และ 3.ภาคการผลิต จัดตั้ง 4,752 ราย คิดเป็น 10.25%
ด้านธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจครึ่งปีแรก 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (2566) แยกตามภาคธุรกิจ ดังนี้
ภาคขายส่ง/ขายปลีก ได้แก่ 1)ธุรกิจขายปลีกชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมใหม่ของจักรยานยนต์มีอัตราการเติบโตสูงสุด 90.91% 2)ธุรกิจขายส่งชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมใหม่ของจักรยานยนต์เติบโต 75.00% และ 3) ขายนาฬิกา แว่นตา และอุปกรณ์ถ่ายภาพ เติบโต 73.08%
ภาคการผลิต ได้แก่ 1)ธุรกิจผลิตโครงสร้างที่ใช้ในการก่อสร้างและเครื่องประกอบอาคาร เติบโตสูงสุด 106.67% 2)ธุรกิจผลิตกระดาษลอนลูกฟูกและกระดาษแข็งลอนลูกฟูก เติบโต 104% และ 3)ธุรกิจผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรกนิกส์อื่น ๆ เติบโต 96.77%
ภาคบริการ ได้แก่ 1)ธุรกิจวิจัยและพัฒนาเชิงทดลองด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีฯ เติบโตสูงสุด 132.35% 2)ธุรกิจขนส่งผู้โดยสารทางรถโดยสารประจำทางอื่น ๆ เติบโต 95.24% และ 3)ธุรกิจก่อสร้างโครงวการสร้างวิศวกรรมโยธาอื่น ๆ เติบโต 85.71%
แยกตามขนาดธุรกิจ พบว่าเป็นธุรกิจขนาดเล็ก S มีสัดส่วนการจัดตั้งสูงสุด 99.64% ของจำนวนการจัดตั้งครึ่งปีแรก 2567 หรือจำนวน 46,214 ราย ธุรกิจขนาดกลาง M สัดส่วนของจำนวนการจัดตั้ง 0.30% หรือจำนวน 142 ราย และธุรกิจขนาดใหญ่ L มีสัดส่วนการจัดตั้ง 0.06% หรือจำนวน 27 ราย โดยเมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2566 พบว่าธุรกิจขนาดเล็ก S และขนาดใหญ่ L มีอัตราการเติบโตลดลง 1.91% และ 34.15% ตามลำดับ ขณะที่ขนาดกลาง M เติบโตเพิ่มขึ้น 10.08%
ด้านเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง 2567 ในส่วนของเศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงกันที่ 2.7% โดยมุมมองของ SCB EIC มีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้น เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศเติบโตดี เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากภาคการผลิต และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังมีความเสี่ยงด้านประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลแต่ละประเทศจะปรับตัวสูงขึ้นจากผลการเลือกตั้งเกือบทั่วโลกในปีนี้ โดยเฉพาะการเลือกตั้งสหรัฐฯ
เมื่อมาดูแนวโน้มการจดทะเบียนธุรกิจปี 2567 ยังคงคาดการณ์การเติบโตของการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ที่ 5-15% (90,000-98,000 ราย) จากปัจจัยสนับสนุน เช่น นโยบายของภาครัฐ การเดินหน้านโยบายเงินดิจิทัลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการดึงดูดการลงทุนจากชาวต่างชาติที่มีการกระตุ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปี เช่น มาตรการวีซ่าพำนักระยะยาว มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการผลิตและกิจการ รวมทั้ง การลงทุนจากภาครัฐที่กำลังดำเนินการหลังจากที่เริ่มจัดสรรงบประมาณในปี 2567 ตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567
นอกจากนี้ การดำเนินการของภาครัฐทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม ตลอดจนภาคการท่องเที่ยวที่ยังเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยที่สำคัญ ซึ่งจากแผนงานของภาครัฐที่มีนโยบายกระตุ้นด้านการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะครึ่งปีหลังในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ประเทศไทยเข้าสู่ช่วง High Season ฤดูกาลท่องเที่ยวซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนไทยมากที่สุดของปี อีกทั้ง นักท่องเที่ยวชาวไทยก็นิยมท่องเที่ยวช่วงเวลาดังกล่าวด้วยเช่นกัน น่าจะผลให้ธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม, ร้านอาหาร, การขนส่ง และธุรกิจ อื่น ๆ ได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย และคาดการณ์ว่าจะมีนักลงทุนจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยท้าทาย เช่น ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจ เนื่องจากมีผลกระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภคในประเทศ อัตราเงินเฟ้อ ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จากต่างประเทศที่อาจส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก และกระทบมาถึงเศรษฐกิจของไทย รวมทั้ง การใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐที่ต้องเร่งเบิกจ่ายให้เร็วขึ้น เนื่องจากเกี่ยวข้องกับธุรกิจ SME โดยตรง หากงบประมาณลงพื้นที่เร็ว จะส่งผลให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น และมีการใช้จ่ายเงินเพื่อบริโภคโดยทันทีเช่นเดียวกัน