AI

ธุรกิจไทยใช้ AI พุ่ง แต่ส่วนใหญ่อยู่ในระดับพื้นฐานและขาดผู้เชี่ยวชาญ

การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในภาคธุรกิจไทยมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ล่าสุดมีธุรกิจกว่า 600,000 ราย หรือ 32% ของธุรกิจทั้งประเทศที่นำ AI เข้ามาใช้งานแล้ว โดยเพิ่มขึ้นถึง 33% จากปีก่อนหน้า ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ให้ผลตอบแทนชัดเจนทั้งในรูปของ รายได้ที่เพิ่มขึ้น และ การประหยัดต้นทุนเฉลี่ย

 

เจาะลึกผลสำรวจ: การใช้ AI ยังไม่ถึงขั้นสุดยอด

แม้ตัวเลขการใช้งานจะพุ่งสูงขึ้น แต่การศึกษา “Unlocking Thailand’s AI Potential” โดย Amazon Web Services (AWS) และ Strand Partners ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจส่วนใหญ่ยังใช้ประโยชน์จาก AI ในระดับ พื้นฐาน เท่านั้น โดย 72% ของธุรกิจยังคงใช้ AI เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงกระบวนการทำงาน เป็นหลัก มากกว่าการขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ มีเพียง 10% เท่านั้นที่สามารถผสาน AI ให้เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตัดสินใจ และโมเดลธุรกิจ ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับการใช้ AI เพื่อปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจของชาติ

 

“เศรษฐกิจ AI สองระดับ”: สตาร์ทอัพแซงหน้าบริษัทใหญ่

ผลสำรวจเผยให้เห็นถึงปรากฏการณ์ “เศรษฐกิจ AI สองระดับ” โดย สตาร์ทอัพไทย มีความคล่องตัวและกระตือรือร้นในการใช้ AI ขั้นสูงกว่ากลุ่มธุรกิจอื่นอย่างเห็นได้ชัด 50% ของสตาร์ทอัพใช้ AI ในรูปแบบต่างๆ และ 40% กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มศักยภาพ

 

ในทางตรงกันข้าม บริษัทขนาดใหญ่ ที่ใช้ AI มีเพียง 16% เท่านั้นที่สร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ด้วย AI ขณะที่ SME มีเพียง 9% ที่ใช้ในระดับก้าวหน้าที่สุด ช่องว่างด้านนวัตกรรมที่สตาร์ทอัพก้าวล้ำนำหน้าอย่างรวดเร็วนี้นับเป็นประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

 

 

 

อุปสรรคใหญ่: วิกฤตขาดแคลน “คนมีทักษะ” และกฎระเบียบ

อุปสรรคสำคัญที่สุดในการเร่งเครื่อง AI คือ การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI ซึ่ง 47% ของธุรกิจไทยระบุว่าเป็นปัญหาหลัก ทั้งที่หลายองค์กรมีเทคโนโลยีและวิสัยทัศน์พร้อมแล้ว ปัญหานี้เป็นภัยคุกคามต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อมีการคาดการณ์ว่าในอนาคต 61% ของตำแหน่งงานจะต้องการทักษะด้าน AI แต่ปัจจุบันมีเพียง 29% ของธุรกิจที่เชื่อว่าพนักงานตนเองพร้อมแล้ว

 

นอกจากนี้ กฎระเบียบด้าน AI ก็เป็นอีกประเด็นที่รอความชัดเจน 49% ของธุรกิจเห็นว่ากฎระเบียบที่ชัดเจนจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ขณะที่ 39% เชื่อว่าจะช่วยสร้างกรอบการกำกับดูแลที่มั่นคง ธุรกิจได้จัดสรรงบประมาณเฉลี่ยถึง 27% ของค่าใช้จ่ายเพื่อรองรับการปฏิบัติตามกฎหมาย และ 76% คาดว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งตอกย้ำความต้องการกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนและสนับสนุนนวัตกรรมไปพร้อมกัน

 

เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง