กระทรวงพาณิชย์ ลุย “เยียวยาน้ำท่วม-ฟื้นฟูเศรษฐกิจ” เดินหน้า 2 ภารกิจคู่ขนาน เร่งมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย 3 ระยะ พร้อมกางผลงาน 7 นโยบายเรือธง Quick Big Win ช่วง 2 เดือน โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 68 จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 3.5 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือเทียบเท่า 0.18% ของ GDP และในปี 69 จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นประมาณ 9.2 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนหน้า หรือเทียบเท่า 0.46% ของ GDP
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยทิศทางการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ในช่วงส่งท้ายปีว่า ขณะนี้กระทรวงฯ ให้ความสำคัญสูงสุดกับภารกิจในการช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัยใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยขับเคลื่อนมาตรการช่วยเหลือแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน ระดมส่งถุงยังชีพและสิ่งของจำเป็นกว่า 5,000 ชุด ลงพื้นที่ทันที ระยะเยียวยา (ธ.ค. 68 – ม.ค. 69) ที่ผนึกกำลังผู้ประกอบการลดราคาสินค้า สินค้าวัสดุก่อสร้างลดสูงสุด 88% สินค้าอุปโภคบริโภคลดสูงสุด 50% และค่าซ่อมแซมยานพาหนะลดสูงสุด 18% และระยะฟื้นฟู ที่มุ่งสร้างอาชีพ ส่งเสริมโอกาสทางการค้าผ่านแฟรนไชส์ราคาประหยัด ให้คำปรึกษาและช่วยเข้าถึงเงินทุน และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (สินค้า GI) พร้อมเปิดจุดจำหน่ายสินค้าธงฟ้า และจัดงานแสดงสินค้าอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง เพื่อให้เศรษฐกิจในพื้นที่กลับมาเข้มแข็งโดยเร็วที่สุด

ในขณะที่เราทุ่มเทดูแลทุกข์สุขของพี่น้องผู้ประสบภัยอุทกภัยภาคใต้ ภารกิจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศก็ต้องเดินหน้าควบคู่กันไป ภายใต้ 7 นโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพาณิชย์ ให้กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว สร้างรากฐานให้ประเทศ ซึ่งสอดรับกับ 5 เสาหลักทางเศรษฐกิจของรัฐบาล นำโดยนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล กระทรวงพาณิชย์มีผลการดำเนินงานในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา (ตั้งแต่ 1 ต.ค. 68) ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้กว่า 6 ล้านครัวเรือน และเสริมแกร่งผู้ประกอบการไปแล้วกว่า 32,000 ราย ให้ยืนหยัดได้ท่ามกลางความท้าทาย

สำหรับผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในรอบ 2 เดือน ของ 7 นโยบาย Quick Big Win มีดังนี้
นโยบายที่ 1 ดูแลค่าครองชีพประชาชนดำเนินการเชิงรุกผ่านโครงการร้านยา “สุขกาย สบายกระเป๋า” ร่วมกับ รพ.เอกชนและร้านขายยารวมกว่า 3,890 แห่ง เปิดเผยราคายาเพื่อทางเลือกที่คุ้มค่าแก่ประชาชน ลดค่าครองชีพกว่า 5,400 ล้านบาท คาดตลอดโครงการช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชนกว่า 33,500 ล้านบาท การจัดมหกรรม “ธงฟ้าราคาประหยัด” ลดสูงสุด 40% จัดแล้ว 102 ครั้งทั่วประเทศ “มหกรรมสินค้าลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญ ราคาประหยัด” ลดค่าครองชีพ 750 ล้านบาท เปิดตัวแบรนด์ “ข้าวโอชา” ข้าวสารราคาถูก และจัดงาน “รวมพลังห้างท้องถิ่น ลดยิ่งใหญ่ ไทยช่วยไทย” (Local Low Cost) ให้ประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่งพลัส และประชาชนทั่วไป ซื้อสินค้าราคาพิเศษลดสูงสุด 60% ได้ที่ห้างค้าส่ง-ค้าปลีกท้องถิ่นทั่วประเทศ 101 แห่ง 800 สาขา ทั่ว 77 จังหวัด นโยบายการดูแลค่าครองชีพ ตลอดระยะเวลา 2 เดือน ช่วยลดค่าครองชีพรวมมากกว่า 6,150 ล้านบาท
นโยบายที่ 2 รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร ขับเคลื่อนกลยุทธ์ “ลดต้นทุน-เพิ่มรายได้” จัดงานธงเขียวราคาประหยัด “ปุ๋ยถูก ยาดี ต้องที่ธงเขียว” 10 จังหวัด ลดต้นทุนเกษตรกรไปแล้วกว่า 21 ล้านบาท พร้อมออกมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งสินเชื่อชะลอการขาย ชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อก ส่งเสริมการผลิตและแปรรูป และเพิ่มช่องทางการตลาด ตลอดจนเร่งเจรจาขายข้าวผ่านการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOC) กับสิงคโปร์ 1 แสนตัน เป็นจุดเริ่มต้น Food Security Hub และเร่งส่งมอบข้าว G to G กับจีน 5 แสนตัน รวมถึงรักษาตลาดข้าวไทยที่เป็นอันดับ 1 ในฮ่องกง พร้อมบุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ทั้งซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ล่าสุดมีออเดอร์มันสำปะหลังอัดเม็ด 30,000 ตัน จากบริษัท ARASCO ของซาอุฯ และอาจสั่งอีก 100,000 ตันในปีหน้า พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร นำร่องเศรษฐกิจข้าวยุคใหม่ “New Rice Economy” จับมือทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน เกษตรกร TDeD Rice Hub มุ่งสู่ “ข้าวประณีต” ขับเคลื่อนข้าวไทยสู่ตลาดเฉพาะทาง เพิ่มมูลค่าแทนการแข่งขันด้านราคา และให้เกษตรกรปลูกพืชเกษตรศักยภาพอื่น ในลักษณะให้ริเริ่มทดแทนบางส่วนตามความพร้อมซึ่งมีตลาดรองรับ
นโยบายที่ 3 เสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs มุ่งแก้ Pain Point ธุรกิจ เรื่องทุน ช่องทางตลาด และทักษะดิจิทัล ผนึกกำลัง SME D Bank สร้างมาตรฐานให้แฟรนไชส์และปล่อยสินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์นำร่อง 8 แบรนด์ วงเงินกว่า 439 ล้านบาท พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าชุมชนด้วยการขึ้นทะเบียน GI ใหม่ 4 รายการ ได้แก่ ทุเรียนชุมพร กกเหล่าพัฒนา (นครพนม) ไก่เบตงยะลา และผ้าทอนาหมื่นศรี (ตรัง) ส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านโครงการ SMEs Pro-active สร้างมูลค่าการค้ากว่า 179 ล้านบาท ส่งเสริมสินค้าอัญมณีผ่านงาน “Bangkok Jewelry Week 2025” และงาน“เทศกาลนานาชาติพลอยและเครื่องประดับจันทบุรี 2025” คาดสร้างรายได้รวมกว่า 150 ล้านบาท รวมทั้งเปิดจุดจำหน่ายสินค้าโดยพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อสร้างช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรและสินค้าชุมชน นอกจากนี้ ยังเร่ง “Upskill Reskill” ผู้ประกอบการยุคดิจิทัล พัฒนาผู้ประกอบการค้าออนไลน์ร่วมกับพันธมิตร (เช่น META Facebook และ Line) DBD Academy อบรมด้านทรัพย์สินทางปัญญา และอบรม AI โดยได้อบรมผู้ประกอบการแล้วรวมกว่า 32,000 ราย
นโยบายที่ 4 ดูแลเศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชา สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนทันทีผ่านงาน “ธงฟ้าชายแดน” ช่วยลดค่าครองชีพและเยียวยาประชาชนในจังหวัดชายแดนไปแล้วกว่า 24 ล้านบาท พร้อมเปิดตัว “ชิม ช้อป เชียร์ by MOC” ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำสินค้าจาก 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา (อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด) มาจำหน่ายช่วงมหกรรมซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์ ควบคู่กับการทำ E-Catalog ประชาสัมพันธ์สินค้าเด่น 7 จังหวัดชายแดน และดำเนินโครงการ “ไปรษณีย์ ขนส่งฟรี” สนับสนุนค่าขนส่งให้ผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดน ช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์และกระตุ้นการค้าขายชายแดน
นโยบายที่ 5 รับมือภาษีสหรัฐฯ และการเบี่ยงเบนทางการค้าจากประเทศอื่นๆ โดยเดินหน้าเจรจาความตกลง Reciprocal Trade กับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง นัดหมายจับคู่กิจกรรม Online Business Matching แล้ว 45 คู่ คาดสร้างมูลค่าการค้า 360 ล้านบาท เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ จากความได้เปรียบของอัตราภาษี Reciprocal Tariff และเพิ่ม Local Content ไทย สร้างโอกาสใหม่ในตลาดสหรัฐฯ (RVC-UP) โดยพัฒนาระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้านำ AI มาช่วยตรวจสอบ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมทั้งอบรมผู้ประกอบการให้เพิ่มการใช้ Local Content หรือวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศไทย และกวาดล้างธุรกิจนอมินี ประสาน ปปง. สตช. DSI ลงพื้นที่ตรวจสอบธุรกิจเป้าหมายและดำเนินการกับผู้กระทำความผิด และเตรียมให้ของขวัญปีใหม่มิจฉาชีพ 4 คำสั่ง 2 ประกาศ เพื่อสร้างมาตรฐานการค้าที่โปร่งใสและเป็นธรรม ป้องกันปราบปรามบัญชีม้า
นโยบายที่ 6 การเจรจา FTA และบุกตลาดใหม่ กระทรวงพาณิชย์ “เร่งเครื่อง” เปิดประตูการค้าโลกเต็มสูบ ผลักดันการบังคับใช้ FTA ไทย-เอฟตา ภายในครึ่งปีแรกของปี 69 เป็นบันไดขั้นสำคัญในการเข้าอียู พร้อมเร่งเจรจา FTA ไทย-อียู ให้คืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสแรกของปี 69 และเดินหน้าเจรจา CEPA ไทย-เกาหลีใต้ รวมทั้งเร่งจัดสัมมนาผลักดันการใช้สิทธิประโยชน์ FTA ให้แก่ผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ยังดำเนินโครงการ “Special Task Force” บุก 4 ตลาดศักยภาพใหม่ (ซาอุดีอาระเบีย เวียดนาม อินเดีย จีน) คาดสร้างมูลค่าการค้า 350 ล้านบาท ล่าสุด ได้สั่งการทูตพาณิชย์ 9 แห่งในจีน ให้เร่งเจาะ 5 กลุ่มสินค้าสำคัญ (สินค้าเกษตรและอาหารสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม สินค้ารักษ์โลก และสินค้านวัตกรรมและดิจิทัลคอนเทนต์) เพื่อรองรับกำลังซื้อจากชนชั้นกลางจีนที่กำลังขยายตัวจาก 400 เป็น 800 ล้านคน พร้อมกันนั้น ยังเร่งรัดจัดกิจกรรม Trade Promotion ในต่างประเทศ โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ทั่วโลก สร้างมูลค่าการค้าแล้วกว่า 10,000 ล้านบาท
นโยบายที่ 7 พัฒนาเทคโนโลยีการให้บริการ ปรับปรุงกฎระเบียบ และลดขั้นตอนราชการ โดยยกระดับการให้บริการดิจิทัล อาทิ Dashboard ข้าว Early Warning ระบบคาดการณ์ผลผลิตข้าวนาปี เพื่อประเมินความเสี่ยงผลผลิตล้นตลาด ปัจจุบันพร้อมใช้งานแล้ว และจะใช้กับพืชเกษตรอื่นต่อไป พัฒนาระบบให้บริการ “MOC Plus” ใช้ AI เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะให้คำปรึกษาและบริการออนไลน์ ภายใน พ.ค.69 พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับออกใบอนุญาตสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items: DUI) เชื่อมโยง e-Service กับแอปทางรัฐ (อาทิ บริการขออนุญาตประกอบการค้าข้าว) ภายใน ธ.ค.68 พัฒนาระบบการส่งข้อมูลแบบบูรณาการ e-One Report ร่วมกับ ก.ล.ต. และ SET เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการนำส่งเอกสาร พร้อมเร่งปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อดูแลประชาชน และอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจให้คล่องตัวเช่น กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืนฯ ของบริษัทมหาชนจำกัด กฎกระทรวงการขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของต่างประเทศ และออกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า(EV Charger) ให้ถูกต้องเที่ยงตรง เป็นต้น
“จากความสำเร็จในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์พร้อมเดินหน้า Next Step ต่อเนื่องทันที โดยในช่วง 2 เดือนข้างหน้า (ธ.ค. 68 – ม.ค. 69) จะจัดมหกรรมลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ข้ามปี 1 เดือนเต็ม และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เศรษฐกิจชายแดน จัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าเชื่อมโยงการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน และเจรจาตลาดใหม่ อาทิ อินเดีย รัสเซีย แคนาดา เข้าร่วม WEF (The World Economic Forum) 2026 พบปะภาครัฐและเอกชนชั้นนำของโลก เร่งเครื่องกิจกรรมส่งเสริมการค้าในต่างประเทศรวมมากกว่า 20 กิจกรรม” นางศุภจีฯ กล่าว
นางศุภจีฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า “การทำงานตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ยังวางรากฐานทางเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยกระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า มาตรการต่าง ๆ ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 3.5 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือเทียบเท่า 0.18% ของ GDP และในปี 2569 จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นประมาณ 9.2 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนหน้า หรือเทียบเท่า 0.46% ของ GDP เป็นความตั้งใจของกระทรวงที่จะผลักดันให้ได้ ซึ่งจะเร่งดำเนินนโยบายให้มีความคืบหน้าเป็นรายสัปดาห์ มีเป้าหมาย และผลสัมฤทธิ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน”
เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
Post Views: 106