เทรนด์ AI

เทรนด์ AI ปี 69 พลิกบทบาทจาก ‘เครื่องมือ’ สู่ ‘คู่คิด ยกระดับงาน-ธุรกิจ

เทคโนโลยี AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คน และมีอิทธิพลในเรื่องต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการทำงาน ซึ่งต่อไปจะไม่ได้แค่มีบทบาทแค่ตอบคำถามเท่านั้น แต่เปลี่ยนเป็น AI Agent เป็นคู่คิด ทำงานร่วมกับมนุษย์ เพิ่มขีดความสามารถทำงานอย่างชาญฉลาด

 

ไมโครซอฟท์ บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเปิดเผย 7 เทรนด์ AI ในปี 2569 ที่จะเข้ามาทำงานร่วมกับมนุษย์อย่างใกล้ชิด โดยยกระดับขีดความสามารถการทำงาน, การสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาด เข้าเสริมแกร่งศักยภาพในกับทุกคน ในทุกอุตสาหกรรม ทั้งการแพทย์ การพัฒนาซอฟต์แวร์ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงควอนตัมคอมพิวติ้ง นำไปสู่ความก้าวหน้าครั้งสำคัญยิ่งกว่าที่เคยมีมา

 

 

สำหรับ 7 เทรนด์ AI ที่จะพลิกโฉมโลกการทำงานของมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

1.เสริมสร้างสิ่งที่มนุษย์ทำร่วมกันให้ดียิ่งขึ้น

 

ยุคใหม่ของการทำงานมาถึงแล้ว เมื่อ AI Agent ก้าวเข้ามาเป็น “เพื่อนร่วมงานดิจิทัล” ที่ช่วยเสริมศักยภาพให้บุคคลและทีมขนาดเล็กสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเหนือความคาดหมาย โดย AI เหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการจัดการข้อมูล การสร้างคอนเทนต์ และปรับแต่งผลงาน ให้เหมาะสมอย่างรวดเร็ว ทำให้มนุษย์สามารถทุ่มเทเวลาและพลังงานไปกับการ กำหนดกลยุทธ์ และความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่

 

  1. AI Agent จะมาพร้อมมาตรฐานการป้องกันใหม่เมื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของ AI Agent ในฐานะ “เพื่อนร่วมทีม” ทำให้ประเด็นด้าน ความปลอดภัย (Security) กลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด องค์กรต้องดำเนินการให้ AI Agent ทุกตัวมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดเทียบเท่ากับมนุษย์ ตั้งแต่การกำหนดตัวตนที่ชัดเจน การจำกัดการเข้าถึงข้อมูลและระบบไปจนถึงการจัดการข้อมูลที่สร้างขึ้น อย่างปลอดภัย โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือ ความปลอดภัยสำหรับ AI Agent จะต้องเป็นระบบอัตโนมัติที่ถูกฝังอยู่ในกระบวนการทำงาน และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่มาตรการที่ถูกเพิ่มเข้ามาภายหลัง

 

3.ช่วยลดช่องว่างด้านสุขภาพทั่วโลก

ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์อย่างหนัก เทรนด์ AI กำลังเปลี่ยนบทบาทสำคัญ โดยมุ่งเน้นไปที่การคัดกรองอาการ และการวางแผนการรักษา เพื่อลดภาระของแพทย์และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้น ยกตัวอย่างนวัตกรรมที่น่าจับตา เช่น

 

BioEmu-1: ใช้ AI ในการคาดการณ์ความเสถียรของโปรตีน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการ พัฒนายาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

RAD-DINO: ใช้ AI วิเคราะห์ภาพ เอกซเรย์ ทำให้แพทย์ได้รับข้อมูลที่แม่นยำ และครอบคลุมมากขึ้นภายในเวลาอันสั้น

 

FCDD: เป็นโมเดล AI ที่ช่วยปรับปรุงการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น ซึ่งช่วยลดอัตราการแจ้งผลลวง (False Positives) และเพิ่มความแม่นยำในการระบุตำแหน่งเนื้องอก

 

การบูรณาการ AI เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับความแม่นยำในการรักษาเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการรับมือกับความต้องการด้านสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้น ด้วยการทำหน้าที่เป็น “ด่านหน้า” ในการคัดกรองและประมวลผลข้อมูล ทำให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถมุ่งเน้นการตัดสินใจที่ซับซ้อน และดูแลผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่

 

4.หัวใจสำคัญของกระบวนการวิจัย

บทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในวงการวิทยาศาสตร์ได้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียงเครื่องมือสรุปข้อมูล และตอบคำถาม ไปสู่การเป็น “เพื่อนร่วมงาน” อย่างแท้จริงในกระบวนการค้นพบทางฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา AI มีศักยภาพสูงในการ สร้างสมมติฐาน การควบคุมการทดลองผ่านการใช้งานเครื่องมือและแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึงการทำงานร่วมกับนักวิจัยทั้งที่เป็นมนุษย์ และ AI ด้วยกันเองอย่างราบรื่น

 

ตัวอย่างความก้าวหน้าที่น่าทึ่งคือเครื่องมือ AI เช่น MatterGen และ MatterSim ที่ช่วยเร่งการค้นพบวัสดุใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้เกิดนวัตกรรมสำคัญเพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น วัสดุดักจับคาร์บอน และ แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง สำหรับพลังงานสะอาด

 

นอกจากนี้ Aurora โมเดล AI ของไมโครซอฟท์ ยังเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการคาดการณ์สภาพอากาศและเหตุการณ์ทางสิ่งแวดล้อมได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็วอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพยากรณ์น้ำท่วม และการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

 

5.โครงสร้างพื้นฐาน AI จะชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่ไม่ได้พึ่งพาการเพิ่มจำนวนดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิมอีกต่อไป แต่หันมาเน้นการใช้พลังประมวลผลให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด ด้วยแนวคิดระบบ AI ที่มีความยืดหยุ่น และกระจายตัวทั่วโลก ที่เรียกว่า “โรงงานผลิต AI อัจฉริยะ” (AI Superfactories) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ AI ได้อย่างมหาศาล

 

นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมฮาร์ดแวร์ที่น่าตื่นเต้นอย่าง Analog Optical Computer (AOC) หรือคอมพิวเตอร์เชิงแสง ซึ่งใช้ แสง (Photons) แทนอิเล็กทรอนิกส์ดิจิทัลแบบดั้งเดิม เทคโนโลยี AOC แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการ เร่งการให้เหตุผลของ AI และการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็วและใช้พลังงานน้อยกว่าหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันอย่างมาก นับเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ของโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะปลดล็อกขีดจำกัดด้านพลังงานและความเร็วสำหรับการประมวลผล AI ในอนาคต

 

6.กำลังเรียนรู้ภาษาของโค้ดและบริบทเบื้องหลัง

ปี 2569 จะนำมาซึ่ง “Repository Intelligence” ซึ่งหมายถึง AI ที่ไม่เพียงเข้าใจบรรทัดของโค้ด แต่ยังเข้าใจความสัมพันธ์และประวัติเบื้องหลัง จึงสามารถให้คำแนะนำได้อย่างชาญฉลาด ตรวจจับข้อผิดพลาดได้เร็วขึ้น รวมถึงแก้ไขปัญหาที่พบเป็นประจำได้โดยอัตโนมัติ

 

7.ความก้าวหน้าในการประมวลผล

ควอนตัมคอมพิวติ้งกำลังเข้าสู่ยุคที่การพัฒนาจะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่ปีแทนที่จะเป็นหลายทศวรรษ สืบเนื่องจากการมาถึงของ Hybrid Computing ที่ผสานควอนตัมเข้ากับ AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะนำไปสู่ “Quantum Advantage” หรือความสามารถในการแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์คลาสสิกทำไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Majorana 1 ของไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นชิปควอนตัมตัวแรกที่ขับเคลื่อนด้วย Topological Qubits ซึ่งช่วยให้คิวบิตมีความเสถียรมากกว่าคิวบิตแบบดั้งเดิม

 

ที่มา: microsoft

 

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ