“เบนปัง บางกอก” แค่ขนมปังทาเนย ทำไมรายได้งอกเงยถึง 40 ล้าน


กว่าจะมาเป็นขนมปังเนยหนึบในวันนี้ คุณทรงวุฒิ เยือกเย็นเจ้าของธุรกิจ “เบนปัง บางกอก” ต้องผ่านอะไรมาบ้าง วันนี้เรามาอ่านเรื่องราวที่น่าสนใจนี้กัน

เริ่มต้นไม่สวยหรู?

คุณทรงวุฒิ เล่าว่าเราขายของมาตลอดเพราะฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี เริ่มตั้งแต่ขายกระทงตามงานวัดขายลูกชงลูกชิ้นทอด ม.4 – ม.5 มาเป็นครูสอนพิเศษ ทําแบบนี้มาตลอด ช่วงหนึ่งมีคนชวนไปทําขายตรงเราก็ไป ไปขายที่ดินก็ไป ไปเป็นนายหน้าอสังหาฯ

“อะไรได้เงิน อะไรเขาว่าได้เงิน แล้ววิ่งไปทําหมด ด้วยความที่ไม่มีความรู้ก็โดนเขาหลอกก็เยอะ พอท้ายที่สุดแล้วเราก็แบบไม่เหลืออะไร”

ดิ้นรนเพื่อให้อยู่รอด

คุณทรงวุฒิ เล่าต่อว่า ตอนนั้นเหลือโทรศัพท์มือถืออยู่เครื่องหนึ่ง ตัดสินใจนำไปขายได้เงินมา 4,000 บาท และกลายเป็นจุดเริ่มต้นทั้งหมด การที่มาเป็นอายุน้อยร้อยอาชีพมันฟังดูแล้วแบบ มันโคตรโหดเลย มันต้องลองล้ม ลองผิดลองถูกมาเยอะมาก ในทุกอาชีพที่เบนได้เรียนรู้และได้ลอง แล้วได้พลาด ได้เจ๊งมันไปเยอะ ทุกอันเบนซ์ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ การทําธุรกิจบางทีมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันเจอเสือ สิงห์ กระทิง แรดเยอะมาก ดังนั้นอายุน้อยแล้วอาชีพของตนเลยเป็นจุดเริ่ม ที่ทําให้มีทุกวันนี้

จุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจ

คุณทรงวุฒิ เผยว่าไปค้นหาในอินเทอร์เน็ต ขนมที่คนไทยกินกันมีอะไรบ้าง จนมาเจออันนี้ขนมปังกรอบโรยน้ำตาล แต่ลําพังเราจะมาขายแบบว่าโรยน้ำตาลเฉย ๆ มันก็แบบไปสู้เขายาก มันต้องต่อยอด มันต้องมันต้องประหลาด มันต้องไม่เหมือนชาวบ้าน แบบส่วนใหญ่จะเนยบาง ๆ แล้วก็จะมีน้ำตาล เราก็แบบ แล้วทําไมเนยหนาไม่ได้

เราก็เลยคิดว่าทําไมเนยหนาไม่ได้ เราก็เริ่มปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาเป็นแบบตัวปัจจุบันตัวนี้ จะเป็นตัวปังเนยหรือที่เนยมันก็จะแบบหนา เป็นเจ้าแรกของประเทศโลกใบนี้ เพราะว่าเป็นคนตั้งชื่อให้มันเองด้วย
แล้วความเก๋ก็คือเราขายให้พวกแม่ค้า แม่ค้าเอาไปขายต่ออีกทีหนึ่ง เราตั้งใจว่าขนมเราคนกินคงจะได้สามสิบห้าบาท แต่ ณ วันนั้น ช่วงที่มันขายดี ๆ เขาขายกันซองละร้อยแปดสิบ แล้วคนก็เลยอยากรู้อยากลอง มันก็เลยเป็นจุดที่มันปะทุขึ้นมา แต่หลังจากที่ปะทุแล้ว ก็ขายดิบขายดี แล้วคนมารอกันเต็ม

“ก็นั่นแหละครับว่าช่วงที่เริ่มลงเตา ปรากฏว่าวันดีคืนดีสํานักงานเขตก็โผล่มา ปรากฏว่ามีรถตู้สีขาวมาจอดหน้าบ้าน เขาก็มีเอกสารมาว่าเราโดนร้องเรียน เพื่อนบ้านร้องเรียนว่าเราทําให้เขาเดือดร้อนเรื่องของความรําคาญ มันก็จริงแหละกลายเป็นว่าโดนสั่งปิดภายใน 7 วัน ก็ไม่รู้ ทําไรไม่ได้ก็ได้แต่ปาดน้ำตา แล้วก็ตระเวนหาที่ใหม่ แต่ก็ไปเจรจากับพี่ที่สํานักงานเขต ว่าพี่หนูขอแบบอีกสักเจ็ดวันได้ไหม เราก็เดินขอโทษคนในหมู่บ้านที่เราก่อความรําคาญให้เขา ก็ขึ้นป้ายหน้าบ้านเลยว่าจะย้ายไปในสิบสี่วัน ขออภัย แต่ช่วงนี้ยังขอดําเนินงานการต่อเพื่อจะตรงนี้ให้จบ” คุณทรงวุฒิ กล่าว

ยอดขายในปัจจุบัน

คุณทรงวุฒิ เผยต่อว่า หลัก ๆ จริง ๆ ขายออนไลน์ 7-Eleven มีประมาณสองพันสาขา แล้วก็ใหญ่ใหญ่ ใหญ่ ๆ ก็จะเป็น ส่งออก รายได้ปัจจุบัน หลัก ๆ เราจริง ๆ จะเป็นส่งออก ที่ส่งออกจะมี ไต้หวัน มาเลเซีย จีน ฮ่องกง ปีหนึ่งประมาณสามสิบแปดถึงสี่สิบล้านบาทโดยประมาณ เราต้องพูดตรง ๆ ตลาดต่างต่างประเทศได้เงินค่อนข้างดี ดังนั้นเรามองตลาดต่างประเทศเพื่อจะได้ราคาที่มันสูงขึ้น แต่การที่จะไปต่างประเทศได้มันต้องมีตัวหลักให้เรายืน ลูกค้าจากต่างประเทศเขาไม่เคยรู้จักเรามาก่อน ดังนั้นสิ่งที่เขาจะรู้จักเราได้เราต้องสร้างตัวตน แต่วิธีการที่เราทําได้ง่ายและเร็ว แล้วคนต่างประเทศจะรู้จัก คือการที่เรามีของอยู่ในห้าง พอเขาเห็นว่าเราอยู่ในห้างแสดงว่าเขาก็จะรู้ว่าโรงงานเรามีมาตรฐาน มันก็เลยทําให้ลูกค้าต่างประเทศกระโดดเข้ามาหาเราเราก็จะมีแต้มต่อ พูดง่าย ๆ ในการเจรจาต่อรองมากขึ้น

ส่งต่อความรู้ในการทำธุรกิจ

คุณทรงวุฒิ อธิบายว่า วันนี้โรงงานเบนซ์มีทุกอย่าง พูดง่าย ๆ ก็คือการทําธุรกิจ คนส่วนใหญ่ชอบมองว่าเราต้องไปผลิตก่อนแล้วค่อยมาขาย แต่ยุคนี้มันกลับกัน ยุคนี้คือถ้าเราหาตลาดได้ก่อนแล้วค่อยมาหาโรงงานผลิตจะง่ายกว่า เบนซ์จะบอกว่าการทําโรงงานไม่ง่าย ถ้าใครอยากจะทําอาหารหรือว่าอยากจะทำขนม ให้ลองดูจากเล็ก ๆ มาจ้างเบนซ์ผลิตให้ได้ คนที่เขามาจ้างเบนซ์ผลิตเขาเลยชอบตรงที่ เขามีหน้าที่ในการขายอย่างเดียวเลย เขาซื้อมาแล้วก็ขายไป ลูกค้ามีค่อยมาสั่ง ลูกค้าไม่มีก็ไม่สั่ง ไม่ต้องเสี่ยงอะไรเลย

เคล็ดลับความสำเร็จ และส่งต่อแรงบันดาลใจ

คุณทรงวุฒิ ทิ้งท้ายกับคำถามนี้ไว้ว่า เบนซ์ไม่รู้ว่ามันประสบความสําเร็จขนาดไหน แต่ก็ถือว่ามาจากเดิมมาค่อนข้างไกล แต่ถามทุกวันนี้ก็ยังลองผิดลองถูก บางช่วงเวลาก็มีหลงทาง ก็ยังมีหนี้สินอยู่ จริง ๆ มีอะไรในการเรียนรู้อีก แต่สิ่งหนึ่งที่เบนซ์ได้เรียนรู้อย่างคือ อย่าไปกลัวในการตัดสินใจที่จะทําอะไร เพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เราได้มาทุกวันนี้มันไม่ใช่เป็นเพราะว่าเราเป็นคนเรียนเก่ง มันไม่ใช่เป็นเพราะว่าเราเป็นคนทฤษฎีเยอะ แต่เราเป็นคนที่ทําเยอะ แล้วกล้าตัดสินใจเยอะ ยอมได้ไม่ว่าจะตัดสินใจถูกหรือตัดสินใจผิด ถ้าพลาดก็ยอมว่ามันพลาดแล้วก็เดินหน้าต่อได้ สิ่งหนึ่งที่มีก็คือต้องกล้าที่จะลองกล้าที่จะพลาดเยอะ ๆ พลาดบ่อย ๆ เบนซ์จะมีคติว่าตายไปหนี้สินหรือว่าความผิดพลาดทั้งหมดที่เราเคยพลาดมันก็ไม่คงไม่ตามเราไปด้วย

“ณ วันที่มีชีวิตอยู่ เบนซ์คิดว่าทําให้สุดเลย ลองให้สุดเลยถ้าได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็ยังมีลมหายใจอยู่”