5 คำถามสำคัญที่ต้องตอบก่อนเริ่ม Startup ธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ : ดร.พยัต วุฒิรงค์


ทุกวันนี้เวลาผมเดินไปไหนจะได้ยินคำว่า Startup บ่อยๆ และดูเหมือนเสียงคำว่า Startup จะดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งเราเคยได้ยินคำว่า โอทอป (OTOP) หรือหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์

 

ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ทุกธุรกิจไม่ว่าเล็กหรือใหญ่กำลังหันมาขึ้นรถไฟขบวนที่ชื่อว่า “Startup” ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่อย่างธนาคาร ธุรกิจขนาดเล็กแบบขายของออนไลน์หรือที่เราเรียกว่า e-commerce มันคือประเด็นฮอตฮิตของบ้านเราในขณะนี้ ทุกฝ่ายกำลังร่วมด้วยช่วยกัน มีการสนับสนุนจากภาครัฐ มีการร่วมลงขันจากภาคธุรกิจ และมีการร่วมแรงร่วมใจจากอีกหลายภาคส่วนเพื่อทำให้เกิดช่องทางใหม่ๆ ในการทำให้ธุรกิจของไทยเติบโตแบบก้าวกระโดด

 

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คนที่อยากขึ้นรถไฟขบวน “Startup” จำเป็นต้องตั้งหลักให้ดี ไม่อย่างนั้นแล้วอาจต้องขาดทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ใครที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจเริ่มธุรกิจ ทำธุรกิจและขยายธุรกิจใหม่ๆ ลองตรวจสอบความคิดที่มีอยู่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่อย่างไรจาก 5 คำถามสำคัญที่ต้องตอบก่อนขึ้นรถไฟความเร็วสูง “Startup”

 

1. ความคิดคุณหรือสิ่งที่คุณจะทำ แก้ปัญหาที่คนกำลังเผชิญอยู่หรือจำทนอยู่หรือไม่

 

บางคนเรียกสิ่งนี้ว่า Pain หรือปัญหา หรืออาจเรียกว่าความเจ็บปวดที่ต้องจำทนก็ได้ครับ บางปัญหาแม้แต่ผู้ใช้สินค้าหรือบริการอาจยังไม่รู้ตัวเลย เพราะว่า “ชิน” กับมันซะแล้ว

 

ง่าย ๆ เลยครับ ถ้าคุณจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ธุรกิจคุณต้องแก้ปัญหาบางอย่างที่คนเจ็บปวดและจำทนอยู่ให้ได้ และมันต้องมีค่าพอให้เค้ายอมจ่ายเงินเพื่อสิ่งนั้น ธุรกิจประเภทนี้มีเยอะมากครับ e-payment counter service delivery grab uber และอีกมากมาย ทั้งหมดตอบโจทย์ความสะดวก ความสบาย ความอยาก ความหิว ความเบื่อ และที่สำคัญ ลูกค้ายอมจ่ายค่าบริการเพิ่ม

 

เมื่อคุณแก้ปัญหาที่คนกำลังเผชิญอยู่หรือจำทนอยู่ได้ คุณจะสามารถสร้างความแตกต่างจากธุรกิจที่มีอยู่เดิมและลูกค้าจะรับรู้ได้ถึงคุณค่าธุรกิจคุณ ชีวิตคุณจะง่ายขึ้น และธุรกิจจะประสบความสำเร็จง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน

 

อาจพูดได้ว่า “ถ้าคุณทำธุรกิจที่เริ่มต้นจากความอยากของคุณ ธุรกิจคุณจะตายไปในไม่ช้า แต่ถ้าคุณทำธุรกิจที่เริ่มจากความอยากของคนอื่น ธุรกิจคุณจะเติบโตอย่างรวดเร็ว

 

2. ความคิดคุณหรือสิ่งที่คุณจะทำ มันทำเงินให้คุณยังงัย

 

ก่อนเริ่ม Startup ธุรกิจ คุณต้องมองให้ออกว่า รายได้ของคุณมันมาจากทางไหนได้บ้าง นั่นคือเส้นทางชีวิตของคุณ การวางแผนธุรกิจก็เหมือนกับการวางแผนชีวิต โตขึ้นอยากเป็นอะไร อยากเป็นหมอ วิศวะ สถาปนิก นักเขียน พ่อค้าแม่ค้า หรือเป็นอะไรก็ตาม มันต้องมองให้ออกก่อน สุดท้ายอาจไม่ได้เป็นตามนั้นร้อยเปอร์เซนต์ แต่อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าจะเรียนสายวิทย์หรือสายศิลป์

 

ถ้าคุณมองการหารายได้ของคุณออก คุณอาจไม่จำเป็นต้องเก็บค่าส่วนต่างของการซื้อมาขายไปเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นการหารายได้แบบดั้งเดิมเลยก็ได้ คุณสามารถพลิกเกมส์เป็นเจ้าของธุรกิจที่ลงทุนไม่มากแต่สร้างรายได้อย่างมหาศาลจากการออกแบบการหารายได้ของคุณ

 

Airbnb คือผู้ให้บริการที่พักที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งไม่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นของตัวเองแม้แต่แห่งเดียว

Uber เป็นบริษัทผู้ให้บริการแท๊กซี่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าของพาหนะใดๆ เลย

Facebook เป็นเจ้าของสื่อที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกซึ่งไม่มีเนื้อหาของตัวเอง

และ Alibaba เป็นผู้ขายที่มีมูลค่ามากที่สุดรายหนึ่งของโลกซึ่งไม่มีสินค้าคงคลังหรือแม้กระทั่งโกดังของตัวเอง

 

ในโลกของ Startup มีวิธีการหารายได้จากธุรกิจหลากหลายวิธี มันไม่ใช่แค่การกินส่วนต่างจากการซื้อมาขายไปแบบในอดีตเท่านั้น แต่มีโอกาสที่คุณจะหารายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียม เก็บค่า Commission จากการขาย เก็บค่าบริการเสริม เก็บค่าใช้ข้อมูล เก็บค่าข่าวสาร เก็บค่าสนับสนุนจากสปอนเซอร์ เก็บค่าคลิ๊กต่อครั้ง (Click per View) เก็บค่าโฆษณา เก็บค่าการลงทุนจาก Venture Capital หรืออาจเก็บจากค่าขายธุรกิจเมื่อธุรกิจคุณโตและมีศักยภาพพอ

 

เมื่อคุณมองออก คุณอาจเจอวิธีการใช้เหยื่อเล็กๆ ตกปลาตัวใหญ่ๆ ก็ได้

 

“วิธีเดินทางจากกรุงเทพไปเชียงใหม่มีได้หลากหลายทางฉันใด วิธีการหารายได้จากธุรกิจก็มีได้หลากหลายทางฉันนั้น

 

หามันให้เจอ มองมันให้ออก แล้วการ Startup ธุรกิจจะกลายเป็นเรื่องสนุกอย่างที่คุณคาดไม่ถึง นี่คือความแตกต่างอย่างหนึ่งระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จ กับคนที่ทำธุรกิจทั่วๆ ไป คนสำเร็จจะทำน้อยๆ ให้ได้เยอะๆ โดยแบ่งเวลาในการคิดและลงมือทำ ในขณะที่คนทำธุรกิจทั่วๆ ไปจะแบ่งเวลาในการคิดเยอะๆ จนบางครั้งหมดแรงในการลงมือทำ หรือพอลงมือทำก็ไม่ได้ทำอย่างที่คิดไว้ซะอีก จนกลายเป็นทำเยอะๆ แต่ได้น้อยๆ   

 

3.  ความคิดคุณหรือสิ่งที่คุณจะทำ มันใหญ่พอหรือเปล่า

 

ใหญ่พอ คือ ต้องเป็นตลาดขนาดใหญ่สำหรับความคิดคุณหรือสิ่งที่คุณจะทำใช่มั้ย

 

คำตอบคือ “ไม่ใช่”

 

ใหญ่พอ คือ ตลาดเฉพาะขนาดเล็กที่มีศักยภาพในการเติบโตและทำให้คุณเริ่มต้นธุรกิจได้

 

หลายคนพยายามแปลงความคิดหรือสิ่งที่จะทำไปสู่ตลาดขนาดใหญ่เช่น ตลาดทั้งประเทศ ตลาดอาเซียน ตลาดเอเชียหรือตลาดโลก ผมอยากบอกว่า ถ้าคุณไม่เก่งจริง ทุนไม่หนาจริง คุณโดนเจ้าตลาดหรือขาใหญ่ฆ่าก่อนครับ ฆ่าโดยการตัดราคา ฆ่าโดยการตัดช่องทางจัดจำหน่าย แค่นี้คุณก็ไม่เกิดแล้วครับ เสียเงิน เสียเวลาและเสียอนาคต

 

ทางที่ดีคือ มันจะง่ายกว่าถ้าคุณสร้างธุรกิจใหม่ในตลาดขนาดเล็กที่มีศักยภาพและบางครั้งเจ้าตลาดอาจยังไม่ทันมองเห็น หรืออาจเรียกว่าทำการรบแบบกองโจร ซึ่งการแข่งขันในตลาดยังมีไม่มากนัก ผมอยากยกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ ธุรกิจอาหารทะเล Delivery หรือ เจคิวปูม้านึ่ง เดลิเวอรี่

 

นี่คือบทสัมภาษณ์บางตอนจากนิตยสาร SME ชี้ช่องรวยครับ

 

ร้าน “เจคิวปูม้านึ่ง เดลิเวอรี่” ร้านอาหารซีฟู้ด ที่ประสบปัญหาวัตถุดิบอาหารทะเล ที่ขายส่งตรงให้กับโรงแรมและร้านอาหารต่างๆ เหลือทิ้งอยู่บ่อยครั้งวัตถุดิบที่เสียไปทำให้ คุณสุรีรัตน์ ศรีพรหมคำ และ คุณประเสริฐ สมบูรณ์ เจ้าของร้าน ตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบ จากการขายส่งมาสู่การขายอาหารทะเลแบบสั่งออนไลน์เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีใครคิด ทำจนกลายเป็นเจ้าแรกที่บุกเบิกการขายอาหารทะเลผ่านเฟซบุ๊ก ไลน์ และอินสตาแกรมและมีรูปแบบการจัดส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่อีกด้วย

 

“เราเริ่มต้นในการทำธุรกิจบนเฟซบุ๊ก ด้วยการปรุงอาหารเมนูต่างๆ แล้วถ่ายรูปและโพสต์ รวมถึงแชร์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวและกลุ่มเพื่อนๆ ในสังคมโซเชียลมีเดีย สร้างกระแสการบอกต่ออย่างรวดเร็วมาก มีลูกค้าเริ่มสั่งอาหารเข้ามาเรื่อยๆ หลังจากนั้นเราก็ทำกิจกรรมผ่านเฟซบุ๊ก อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างชื่อเสียงให้เกิดกับธุรกิจ ปรากฏว่ากิจกรรมได้รับการตอบรับอย่างถล่มทลาย โดยเฉพาะกิจกรรมการแจกตุ๊กตาเฟอร์บี้ ให้กับลูกค้าที่กดไลค์และแชร์ ไอเดียนี้ช่วยสร้างยอดขาย ให้เราตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา” คุณสุรีรัตน์ กล่าวถึงวิธีทำตลาดออนไลน์ช่วงเริ่มต้น

                                                        

ธุรกิจเจคิว ปูม้านึ่ง เดลิเวอรี่เริ่มต้นจากตลาดเฉพาะขนาดเล็กที่มีศักยภาพในการเติบโตและปัจจุบันกำลังขยายตัวไปสู่ธุรกิจที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน

 

วันนี้คุณอาจเริ่มต้นจากตลาดเฉพาะเพื่อให้คุณเริ่มนับหนึ่งได้ แต่วันใดก็ตามที่คุณต้องการขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น ไปสู่ตลาดระดับชาติ นานาชาติ วันนั้นคุณสามารถหาเงินได้ง่ายๆ จาก Venture Capital นักลงทุนที่สนใจให้เงินคุณในการขยายธุรกิจ ซึ่งไม่ยากเลยครับ แต่สิ่งสำคัญคือ คุณต้องรอดให้ได้จนถึงวันนั้น คุณต้องหลบหรือไปตลาดที่ยังมีคู่แข่งไม่มากและตั้งไข่ธุรกิจคุณให้ได้

 

หรือสรุปง่ายๆ ว่า “Startup ธุรกิจจากจุดเล็กๆ แล้วสร้างความยิ่งใหญ่ให้โลกสะเทือน ไม่มีใครโตได้โดยไม่เล็กมาก่อน แต่โลกยุคนี้ เด็กโตเร็วมากๆๆ ครับ บางคน 2 ปีโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว บางคน 5 ปีโตเป็นผู้ใหญ่ นี่คือความแตกต่างกับการทำธุรกิจแบบดั้งเดิมที่กว่าจะโตต้องใช้เวลาทั้งชีวิต!!!

 

4. ความคิดคุณหรือสิ่งที่คุณจะทำ คุณทำได้ดีกว่าคนอื่นหรือเปล่า

 

“คุณทำได้ดีกว่าคนอื่นหรือเปล่า” คำถามสำคัญที่คนอยากเริ่มธุรกิจ ทำธุรกิจและขยายธุรกิจมองข้าม

 

ถ้าคุณสามารถแก้ปัญหาที่คนกำลังเผชิญอยู่หรือจำทนอยู่ได้ คนอื่นจะมาลอกเลียนแบบรูปแบบธุรกิจคุณทันที และคุณห้ามเค้าไม่ได้

 

ทางเดียวที่คุณจะอยู่รอดคือ คุณต้องทำให้ดีกว่าคนอื่น ดีกว่าเจ้าตลาด ดีกว่าคนที่จะเข้ามาใหม่ คุณต้องทำให้ดีกว่าและดีขึ้นเรื่อยๆ

 

ถามว่า แล้วเราจะทำได้ดีกว่าคนอื่นได้อย่างไร ง่ายๆ เลยครับ มันต้องเป็นธุรกิจที่คุณชอบ รัก หรือเป็นธุรกิจที่คุณหรือครอบครัวคุณมีประสบการณ์มายาวนาน ธุรกิจที่คุณลงมือทำได้อย่างไม่ติดขัด ธุรกิจที่คุณอยู่กับมันมาสมัยเด็กๆ ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่คุณแล้วเอามาต่อยอด ธุรกิจที่คุณรู้จักทุกคนในอุตสาหกรรม นึกออกว่าใครเป็นใคร ซึ่งหมายความว่า คุณจะหาวัตถุดิบได้ดีกว่าคนอื่น ผลิตได้ถูกกว่าคนอื่น จัดส่งของได้เร็วกว่าคนอื่น

 

ถ้าบริษัทใหญ่ๆ จะลอกเลียนแบบธุรกิจคุณ คุณจะกลัวหรือไม่ ถ้าคุณไม่กลัว นั่นแสดงว่า “คุณพร้อมแล้วที่จะก้าวสู่ความสำเร็จ”

 

รูปแบบธุรกิจอาจจะลอกเลียนแบบกันได้ครับ แต่รายละเอียดที่ทำให้ใครคนใดคนหนึ่งทำกำไรได้มากกว่าใครอีกคนไม่ใช่สิ่งที่ลอกเลียนแบบได้ นั่นคือ ความลับของฟ้า ที่ไม่มีใครเปิดเผย มีแต่คุณ คนที่ประสบความสำเร็จคนเดียวเท่านั้นที่รู้ ไม่อย่างนั้น คงไม่มีคนเรียกร้องให้สตีฟ จอบส์กลับมาหรอกครับ 

 

“ไม่มีธุรกิจไหนที่จะไม่ถูกลอกเลียนแบบ สิ่งที่คุณต้องทำเพียงแค่ คุณต้องทำให้ดีกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง”

 

5. ความคิดคุณหรือสิ่งที่คุณจะทำ มันทำให้เกิดขึ้นภายใน 6 เดือนถึง 1 ปีได้หรือเปล่า

 

คำถามนี้เป็นคำถามสุดท้ายที่คุณต้องตอบก่อน Startup ธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ความหมายของคำถามนี้คือ

 

“คุณเอาจริงหรือเปล่า”

 

หลายครั้งที่ผมถามคำถามนี้กับคนที่มาคุยกับผมในการเริ่มหรือขยายธุรกิจ ทุกคนอาจจะตอบคำถามข้อ 1 – 4 ได้อย่างสบายๆ แต่พอจะให้ลงมือทำ จะเกิดคำถามขึ้นมามากมายครับว่า จะหาเงินจากไหน จะหาคนทันหรือเปล่า จะหาออฟฟิตได้มั้ย คำถามนี้จึงเป็นคำถามสำคัญและเป็นคำถามสุดท้ายที่คุณต้องตอบก่อน Startup ธุรกิจ 

 

ถ้าจะให้คุณแปลงความคิดคุณให้เป็นจริงภายในระยะเวลาสั้นๆ มันต้องมีความกล้า ไม่ใช่คิดไปเรื่อยๆ เรื่อยไปจนคุณอายุ 70 ก็ยังคิดอยู่ และพอมีคนคิดเหมือนคุณและประสบความสำเร็จขึ้นมา คุณก็เดินมาบอกคนข้างๆ ว่า “เห็นมั้ย มันทำได้จริงๆ” ใช่ครับ มันทำได้จริงๆ แต่คุณไม่ได้ลงมือทำมัน

 

สิ่งที่คุณตอบมาข้างต้น อาจเป็นสิ่งที่คุณฝันหรือคาดหวังว่ามันจะเป็นจริง แต่ถ้าคุณตอบข้อนี้ไม่ได้ หรือตอบได้อย่างไม่สบายใจ แสดงว่า คุณยังไม่เชื่อในความคิดของคุณ คุณยังไม่เชื่อในตัวคุณ และที่สำคัญคือคุณยังไม่กล้าพอที่จะเดินไปสู่ความสำเร็จทั้งๆ ที่คำตอบของคุณก่อนหน้านี้มันตอบว่า ดีหรือใช่ “ความพร้อมไม่ใช่ปัญหาของการ Startup ธุรกิจ ปัญหาของมันอยู่ที่ “ใจ” คุณ…พร้อมหรือเปล่า”

 

หากความคิดไหนที่คุณรู้สึกสบายใจที่จะตอบทั้งห้าคำถามดังกล่าวแสดงว่าคุณมีโอกาสสำเร็จเกินครึ่งแล้ว แต่ถ้าไม่คุณก็ไม่ต้องกังวลครับ ความคิดที่ดีกว่าจะมาหาคุณในไม่ช้า ใจเย็นๆ ครับ อย่าเพิ่งรีบขึ้นรถไฟ Startup ความเร็วสูงขบวนนี้เลยครับ

 

Startup เป็นรูปแบบธุรกิจหนึ่งที่สนับสนุนให้เราคิดอะไรใหม่ๆ คิดอะไรเล็กๆ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ไม่จำเป็นต้องลงทุนเป็นร้อยล้าน พันล้านเพื่อให้ได้ผลกำไรที่มหาศาล บางคนมีเงินลงทุนเบื้องต้น 2 ล้านบาทแต่สามารถสร้างรายได้เป็นหลายล้านล้านบาท นั่นคือธุรกิจของนายแจ๊ค หม่า ผู้ก่อตั้ง Alibaba นี่คือสาเหตุที่ทำให้ Startup ตื่นตัวและคนหันมาให้ความสนใจอย่างมาก

 

แต่ถ้าคุณไม่เข้าใจมัน มันก็จะแปลงร่างจากสิงโตเจ้าป่า กลายเป็นลูกแกะที่รอวันให้หมาป่ามากินที่กระท่อมน้อยกลางป่าที่เงียบสงัดแบบไร้คนยื่นมือมาช่วย

 

สุดท้ายครับ อย่ากลัวการตกรถไฟ เพราะการตกรถไฟไม่น่ากลัวเท่ากับการขึ้นรถไฟแล้วโดน “ทิ้งไว้กลางทาง” เพราะฉะนั้นก่อนขึ้นรถไฟอย่าลืมตรวจตั๋วให้เรียบร้อยนะครับ ว่าคุณมีตั๋วแล้วหรือยัง … สวัสดี