จากถ่านหินสู่ไฮโดรเจน เมื่อ ‘Volvo’ คิดการใหญ่


ทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกไปจากการพุ่งเป้าพัฒนาเรื่องพลังงานเชื้อเพลิง ที่หลายค่ายผู้ผลิตเห็นตรงกันว่าจะต้องเดินหน้าไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ด้วยว่าพลังงานเชื้อเพลิงทุกวันนี้ร่อยหรอลงไปอย่างมาก และหากไม่พัฒนาแสวงหาเชื้อเพลิงชนิดอื่นมาขับเคลื่อน ก็คาดว่าการขายรถยนต์อาจจะมีผลกระทบอย่างมากแน่นอน

แต่อีกส่วนก็เป็นที่รู้กันดีว่าน้ำมันเชื้อเพลิงสร้างผลกระทบด้วยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ และทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกอันนำไปสู่การทำให้โลกร้อน หรือที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า Climate Change

แต่ทว่ากระบวนการใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อนยานยนต์เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมของโลก และหวังผลลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาจจะไม่พอ เพราะล่าสุดค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากสวีเดนจะออกมาช่วยรักษาโลกเอาไว้ ด้วยแนวคิดเปลี่ยนกระบวนการผลิตรถยนต์ใหม่ของพวกเขาทั้งหมด ที่วัสดุหลักจากเหล็กกล้า-ถ่านหิน มาเป็นการผลิตโดยใช้ไฮโดรเจน ซึ่งทำให้ค่ายรถยนต์สัญชาติยุโรปค่ายนี้ มั่นใจว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 90%

ค่ายรถยนต์ที่ว่าคือ Volvo (วอลโว่) แบรนด์หรูสัญชาติยุโรป แต่ปัจจุบันถือครองโดยกลุ่มทุนจากประเทศจีนที่เข้ามาบริหารกิจการ และเริ่มเดินหน้าให้วอลโว่กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบในอนาคต แต่อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขากำลังให้ความสำคัญ คือกระบวนการผลิตรถยนต์ที่ต้องใช้พลังงานฟอสซิล พลังงานถ่านหินในการผลิต “เหล็ก” อันเป็นหัวใจของโครงสร้างรถยนต์ ซึ่งมองว่าการใช้พลังงานฟอสซิลผลิตเหล็กกล้าในรถยนต์เบนซินและดีเซล จะมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 35% ของคาร์บอนที่ปล่อยออกมาระหว่างการผลิต แถมด้วยรถยนต์ของวอลโว่ หากใช้พลังงานฟอสซิลผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก็จะมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีก 20% ซึ่งสำหรับวอลโว่มันเป็นตัวเลขที่กำลังทำลายโลก และพวกเขาเริ่มหาวิธีเปลี่ยนมัน

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในเรื่องของโครงสร้างการผลิตรถยนต์ของวอลโว่ โดยมีปัจจัยมาจากสภาพปัญหาของสิ่งแวดล้อม วอลโว่ไปจับมือกับ SSAB ผู้ผลิตรถยนต์และผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่เป็นเพื่อนร่วมชาติของสวีเดนเหมือนกัน เพื่อแสวงหาการผลิตรถยนต์รูปแบบใหม่ที่ต้องเป็นมิตรกับโลก เพราะจากเดิมการใช้เหล็กผ่านกระบวนการเผาเพื่อผลิตขึ้นรูป ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งในภาคส่วนที่ยากที่สุดในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และจากตัวเลขข้างบนของวอลโว่ที่สะท้อนว่ากระบวนการใช้ถ่านหินเพื่อเอาออกซิเจนออกจากแร่เหล็กก็ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และหากการปรับเปลี่ยนวิธีการ โดยเลิกใช้เทคโนโลยีถ่านหิน แต่มาทุ่มกับเทคโนโลยีจากไฮโดรเจนแทน ก็เชื่อว่าจะช่วยจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตเหล็กได้อย่างน้อย 90%

วอลโว่ได้เดินหน้ากับ SAAB ไปแล้วสำหรับแนวคิดการผลิตรถยนต์รูปแบบใหม่ โดยพวกเขาตั้งเป้าว่าต้องทำสำเร็จภายในปี 2568 ก่อนจะเปิดเผยโฉมให้โลกเห็น และจากนั้นจะวางแผนใช้งานเชิงพาณิชย์ หรือขายในตลาดรถให้ได้ภายในปี 2569 ภายใต้ความตกลงว่า “อย่างเร็วที่สุด” ซึ่งจะช่วยให้บริษัทลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเฉลี่ยของรถยนต์ก่อนกำหนดกำหนดในอีก 10 ปีข้างหน้าได้ ซึ่งมันเป็นข้อกำหนดให้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่เท่านั้น และวอลโว่วางเป้าว่ายุทธศาสตร์การเดินหน้ายานยนต์ของพวกเขา จะต้องเป็นหนึ่งในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ในอีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า

กระบวนการใช้ระบบไฮโดรเจนเข้ามามีส่วนสำคัญในการผลิตรถยนต์ของวอลโว่ ทางแบรนด์เคลมว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีในการพัฒนาเทคโนโลยีเหล็กที่สะอาดขึ้น ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากพลังงานหมุนเวียนที่อุดมสมบูรณ์มากกว่าพลังงานด้านอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือของสวีเดน พลังงานหมุนเวียนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างไฮโดรเจนที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์จากน้ำด้วยไฟฟ้า แทนที่จะพึ่งพากระบวนการเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ยังคงปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

กระนั้นก็ตาม รถยนต์ของวอลโว่ที่จะผลิตผ่านกระบวนการไฮโดรเจน อาจจะเร็วเกินไปที่จะบอกว่าเป็นรถยนต์ที่สมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะในการเพิ่มการผลิตสู่ขนาดเชิงพาณิชย์และเพื่อทดสอบความปลอดภัยของยานยนต์ที่ผลิตจากกระบวนการไฮโดรเจน

แต่อีกสิ่งที่วอลโว่กล้าที่จะเดินหน้าไปสู่การปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ในกระบวนการผลิตรถยนต์ของพวกเขา เพราะเชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบัน ซึ่งคนทั้งโลกกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นหลักแรกสำหรับการตัดสินใจ และวอลโว่เองก็ยังคงความโดดเด่นในเรื่องของความปลอดภัยของยานยนต์ เมื่อมีการเสริมเรื่องการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้คนขับวอลโว่มองตัวเองว่าไม่ได้ทำร้ายโลกจากการเดินทางของเขา องค์ประกอบนี้จะทำให้วอลโว่ก้าวกระโดดในกลุ่มยานยนต์สำหรับอนาคตได้อย่างยั่งยืน