รถยนต์ไฟฟ้าในจีนที่รุดหน้า กับการก้าวเดินแบบ “ต้วมเตี้ยม” ของไทยแลนด์


การก้าวเดินของการใช้พลังงานไฟฟ้าให้มากขึ้น เพื่อลดทอนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนยานพาหนะ กำลังเป็นทิศทางที่สำคัญของโลกมนุษย์ที่ ณ ปัจจุบัน เราเริ่มเห็นความชัดเจนที่มากขึ้น มากขึ้น ผ่านสายตาการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน

จากเดิมที่เป็นแนวคิดของการใช้ “รถยนต์ไฟฟ้า” ก่อนนำไปสู่การผลิตขึ้นจริงเพื่อเข้าสู่ระบบเชิงพาณิชย์ บวกกับกระแสการใส่ใจอนุรักษ์สภาพแวดล้อมเริ่มมีมากขึ้น ทำให้ทิศทางการซื้อรถยนต์ใช้งานจะคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก

เราจึงได้เห็นทั้งโลก มีรถยนต์ไฟฟ้า มีจุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ และมีตัวเลือกหลากหลายของแต่ละค่ายรถยนต์ไว้ใช้งาน

เมื่อมองมายังประเทศที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลก ขณะนี้ “จีน” คือประเทศที่มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลก เปลี่ยนภาพลักษณ์ของพวกเขาจากเดิมที่เราเคยมองเห็นว่าจีน ด้วยประชากรระดับพันล้านคน ก็ย่อมปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาลสู่ชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการใช้รถยนต์บนท้องถนน ที่ปริมาณรถมหาศาลด้วย แต่กระนั้น ความกล้าเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นในแผ่นดินใหญ่ ด้วยการหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น จากการที่รัฐบาลของพวกเขาเดินหน้าสนับสนุนทุกมิติ ทั้งสนับสนุนค่ายรถยนต์ในประเทศ และทุนต่างประเทศ รวมถึงสิทธิ์ด้านภาษี ประโยชน์ต่างๆ ไปยังประชาชนที่หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า

ในปี ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมา China Association of Automobile Manufacturers หรือ CAAM หรือสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน ระบุว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของจีนแตะ 1.3 ล้านคันในปี 2020 เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบปีต่อปี แต่เมื่อมาถึงครึ่งปี ค.ศ. 2021 ในปัจจุบัน สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า จำนวนกรรมสิทธิ์ถือครองยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของจีนอยู่ที่ 5.8 ล้านคัน เมื่อนับถึงปลายเดือนพฤษภาคม ซึ่งคิดเป็นราวครึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมสิทธิ์ถือครองยานยนต์พลังงานใหม่ทั่วโลก

CAAM ฉายภาพว่า การประชุมยานยนต์แห่งประเทศจีน ในนครเซี่ยงไฮ้ ระบุว่ายอดจำหน่ายยานยนต์พลังงานใหม่ของจีน ช่วง 5 เดือนแรกของปี ค.ศ.2021 อยู่ที่ 950,000 คัน เพิ่มขึ้น 2.2 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แถมด้วยอัตราการเข้าถึงตลาดยานยนต์พลังงานใหม่ของจีนยังคงรักษาแนวโน้มการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 8.7

ขณะเดียวกัน พวกเขาก็คาดว่า การเติบโตของการผลิตและยอดจำหน่ายยานพาหนะไฟฟ้าจะยังคงสูงเกินร้อยละ 40 ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ควบคู่ไปกับการเพิ่มจุดชาร์จพลังงานรถไฟฟ้า ที่ปัจจุบันจีนมีสถานีชาร์จอยู่ 65,000 แห่ง สถานีสลับแบตเตอรี่ 644 แห่ง และเสาชาร์จ 1.87 ล้านต้น เมื่อนับถึงเดือนเมษายน ซึ่งตั้งกระจายครอบคลุม 176 เมือง และทางหลวงมากกว่า 50,000 กิโลเมตร

จีนวางระบบเอาไว้อย่างดี กับการรองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ควบคู่ไปกับการอัตราเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศที่รุดหน้าไปเช่นกัน ทำให้ตลาดรถของจีนกลายเป็นจุดรวมของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งโลก ที่ต่างจะพากันสร้างเครดิตในการเข้าไปแก้ปัญหามลพิษ เพราะหากทำที่จีนได้สำเร็จ ก็จะได้ชื่อการันตีว่าเป็นแบรนด์รถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญคือสามารถเอาไปทำแคมเปญโฆษณาได้อีกหลายปี

วกกลับมาดูประเทศไทย ปัจจุบันต้องยอมรับกันว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมีค่อนข้างน้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าคนไทยไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม หรือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยียานยนต์ เพียงแต่ว่ามันยังไม่มีระบบที่เอื้ออำนวยให้พวกเราได้ใช้กัน บวกกับราคารถยนต์ไฟฟ้ายังคงแพงมากด้วยว่าเป็นการนำเข้า แม้ว่าจะมีบางค่ายรถยนต์ทำออกมาขายแล้วเหมือนกัน แต่สนนราคาก็ยังถือว่าสูงอยู่ดีหากเทียบกับการเข้าถึงการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีราคาเป็นตัวตั้งสำหรับการตัดสินใจ

ราคายังคงเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพราะคนไทยยังติดกับความสะดวกสบายของรถยนต์ที่ได้รับ ภาครัฐยังไม่กล้าขยับอย่างจริงจังเพราะส่วนหนึ่งก็ถือเป็นของใหม่สำหรับประเทศด้วย เราจึงได้เห็นภาพการนำร่องของการใช้รถไฟฟ้าในระบบขนส่งมวลชน

แต่กระนั้น ประเทศไทยมีการส่งเสริมการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้าให้แก่ผู้ผลิต ทั้งการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ยกเว้นอากรการนำเข้าพวกชิ้นส่วนและอุปกรณ์ โดยผู้ผลิตต้องยื่นเข้ารับการส่งเสริมแก่ BOI และยังมีมาตรการในการลดภาษีสรรพสามิต และทำให้ผู้บริโภคหาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่ถูกลงในอนาคตอันใกล้

โดยภาครัฐมีเป้าหมายในการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริดปลั๊กอิน และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่รวมทั้งสิ้น 1.2 ล้านคันในปี พ.ศ. 2579 ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่ต้องรอเวลาสำหรับการพิสูจน์

อ้างอิง: สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงาน นครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่สำนักข่าวซินหัว