“เอสเอฟ-เมเจอร์” สู้สุดตัว อัดโปรโมชัน หวังฟื้นรายได้นำธุรกิจผ่านช่วงวิกฤตจากโควิด-19


อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อป้องการการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งแน่นอนว่าการปิดให้บริการไปผลที่ตามมา คือในส่วนของรายได้ที่ต้องขาดหายเป็นระยะเวลากว่า 2 เดือน

แม้ว่าโรงภาพยนตร์จะถูกทางผ่อนคลายในระยะที่ 3 สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา แต่การกลับมาเปิดให้บริการก็ต้องเป็นไปตามมาตรการที่วางไว้ โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ คือการจำนวนผู้เข้าใช้บริการ รวมถึงการกำจัดรอบฉายที่ลดลงอีกด้วย

ดังนั้น “เมเจอร์-เอสเอฟ” ผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจโรงภาพยนตร์จะมีกลยุทธ์อย่างไรที่จะทำให้กิจการเจ็บตัวน้อยที่สุด

คุณนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการปิดโรงภาพยนตร์ทำให้รายได้หายไป 250 ล้านบาท โดยตอนนี้สามารถรับลูกค้าได้เพียง 25% เท่านั้น ซึ่งการทำการตลาดในช่วงนี้การเร่งโปรโมทภาพยนตร์ทั้งไทย-เทศ ทั้งฟอร์มเล็ก-ใหญ่ เพื่อดึงดูดผู้บริโภค และช่วงนี้ภาพยนตร์เก่าจะถูกนำมาฉายอีกครั้ง

นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการตลาดด้วยการส่งเสริมให้ลูกค้าซื้อตั๋วภาพยนตร์ผ่านช่องทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Major Cineplex ซึ่งจะมีส่วนลดให้ถึง 30 บาท/ที่นั่ง และหากใครเป็นสมาชิก M Gen Regular ก็จะได้รับส่วนลด 50 บาท/ที่นั่ง

ด้าน คุณพิมสิริ ทองร่มโพธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประเมินว่ารายได้การขายตั๋วของปีของเอส เอฟ จะลดลงไป 30% ซึ่งแน่นอนว่าในปี 2563 พลาดเป้าไปอย่างแน่นอนจากปีก่อนที่ขายได้ 20 ล้านใบ

การกลับมาเปิดให้บริการสามารถขายตั๋วที่นั่งได้เพียง 25% แต่ต้นทุนต่าง ๆ กลับมาเป็นปกติ ดังนั้นจึงต้องหาทางประคองธุรกิจให้อยู่รอดต่อไป โดยตอนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการฉายภาพยนตร์เรื่องเก่าที่ตกค้าง และเมื่อมีภาพยนตร์ใหม่เข้าโรงก็ยืดระยะเวลาการฉายให้มากกว่าปกติ อีกทั้งราคาตั๋วภาพยนตร์ยังขายราคาเดิม

อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ส่งผลกับโรงภาพยนตร์อื่น ๆ เช่นกัน ดูได้จากโรงภาพยนตร์สกาลาที่ขอยกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดในเดือนพฤษภาคม 2563 ซึ่งตามความจริงสัญญาเช่าจะไปหมดในเดือนธันวาคม 2563