Starbucks มีแผนปิดสาขา 400 แห่งในสหรัฐฯ หลังพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน


แม้ว่า Starbucks” ร้านกาแฟยักษ์ใหญ่ระดับโลกชูกลยุทธ์ Now Normal ไปยังพาร์ทเนอร์ หลังร้านทยอยกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง โดยมั่งมั่นสู่การเป็นบ้านหลังที่สาม แสดงถึงความอบอุ่นเพื่อรับกับความต้องการของลูกค้า และสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลาดเวลา โดยคำนึงถึงความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และ Starbucks ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับวิถี New Normal

โดยล่าสุด Starbucks แบรนกาแฟยักษ์ใหญ่ของโลกประกาศแผนที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในเชิงกลยุทธ์รองรับกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปในสหรัฐฯ ด้วยการปิดสาขา 400 แห่ง ภายในอีก 18 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ Starbucks ยังชะลอแผนการเปิดสาขาใหม่ในปีนี้ออกไป จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะเปิด 600 แห่ง ลดลงเหลือเปิดเพียง 300 แห่งเท่านั้น

Starbucks ให้เหตุผลว่าสาขาที่จะเปิดจะต้องมีโลเคชันแตกต่างจากที่อื่น และรูปแบบร้านค้าต้องเป็นแบบนวัตกรรมสมัยใหม่ โดยจะมุ่งเน้นไปที่การเปิดร้านแบบ pick-up ในพื้นที่ที่เป็นศูนย์ด้วยรูปแบบ drive-thrus, curbside pick-up คือการจอดรถยนต์หน้าร้านกาแฟแล้วพนักงานนำเครื่องดื่มที่สั่งมาให้ และการสั่งให้ลูกค้าสั่งออเดอร์ผ่านแอปพลิเคชัน

 

 

“วิสัยทัศน์ของเราในแต่ละเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ต้องมีการผสมผสานของร้าน Starbucks แบบดั้งเดิม และร้าน Starbucks แบบ pick-up เข้าด้วยกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่จะเลือกซื้อเครื่องดื่มได้ตามความสะดวก แต่ยังได้รับประสบการณ์ที่ดีเหมือนเดิม”

Kevin Johnson ซีอีโอของ Starbucks กล่าวว่า Starbucks ได้เปิดร้านกาแฟแบบ pick-up แห่งแรกในนิวยอร์ก เมื่อปีที่ผ่านมา โดยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ช่วยให้เราต้องปรับเปลี่ยนไปยังร้าน Starbucks แบบ pick-up เร็วขึ้นกว่าเดิม
ทั้งนี้ Starbucks คาดการณ์ว่ารายได้ในไตรมาส 3 ของปี 2020 จะลดลงประมาณ 3.0-3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ที่มา: businessinsider
 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง