โลกธุรกิจของลิเวอร์พูล เมื่อผลงานใน-นอกสนาม สอดรับกันจนนำมาสู่ความสำเร็จ


หากตั้งคำถามว่า คุณสามารถรอสิ่งที่ปรารถนาได้นานแค่ไหน? หากบอกว่า 30 ปี หลายคนอาจจะหมดหวัง ล้มเลิกความตั้งใจนี้ไปแล้ว แต่กับสโมสรลิเวอร์พูล พวกเขายังคงมีความหวัง ทำงานอย่างหนักเพื่อเดินหน้าก้าวไปถึงจุดหมายที่ปรารถนาอย่าง “ถ้วยพรีเมียร์ลีก” ให้ได้

มาถึงวันนี้การรอคอยได้จบสิ้นลงแล้ว และแน่นอนความรู้สึกของเหล่านักฟุตบอล แฟนบอล ที่ได้เห็นตามหน้าสื่อออกมาด้วยความตื้นตันเป็นพิเศษ เมื่อทีมรักของพวกเขาทำสำเร็จสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี และเป็นแชมพรีเมียร์ลีกสมัยแรกของสโมสร ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ได้นั้นพวกเขาต่างต้องเจอกับอุปสรรคล้มลุกคลุกคลาน จากอดีตที่เป็นทีมมหาอำนาจจากเกาะอังกฤษ แต่ย้อนกลับไปในช่วง 10-20 ปี ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าทีมฟุตบอลแห่งนี้เริ่มห่างไกลจากความสำเร็จเข้าไปทุกที

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในวันนี้ส่วนหนึ่งมาจากการบริหารงานทั้งใน และนอกสนามที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันจากแผนงานที่มีเป้าหมายชัดเจน

ย้อนกลับไปในปี 2010 ลิเวอร์พูลเกือบต้องล้มละลาย หลังทอม ฮิคส์ และ จอร์จ ยิลเล็ตต์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ของสโมสร ซึ่งเงินที่พวกเขานำมาซื้อหุ้นนั้นมาจากการกู้ รอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ โดยเป็นเงินมากถึง 350 ล้านปอนด์เลยทีเดียว ซึ่งการเข้ามาในครั้งนี้เป้าหมายที่ทั้งสองมองเป็นหลัก คือการกอบโกยผลประโยชน์ออกไปให้ได้มากที่สุด พร้อมกับสร้างนโยบายขายฝัน เช่น การสร้างสนามใหม่

อย่างไรก็ตาม การบริหารไม่เป็นอย่างที่หวัง และลิเวอร์พูลสุ่มเสี่ยงที่จะล้มละลาย เพราะแบกรับภาระหนี้ไว้ไม่ไหว สุดท้ายเป็น จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี เฟนเวย์ สปอร์ตส กรุ๊ป (FSG) เข้ามาเทคโอเวอร์ และจุดเริ่มต้นนี้ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้สโมสรประสบความสำเร็จ

เมื่อเปรียบเทียบจากปี 2010 มาจนถึงปี 2020 มูลค่าของลิเวอร์พูลถือว่าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี 2010 สโมสรมีมูลค่า 300 ล้านปอนด์ แต่การประเมินล่าสุดเมื่อต้นปี 2020 ของ Forbes พบว่าลิเวอร์พูลมีมูลค่าอยู่ที่ 1,760 ล้านปอนด์ เพิ่มขึ้น เกือบ 6 เท่า ส่วนรายได้จากการค้าอยู่ที่ 188 ล้านปอนด์ รายได้จากการขายตั๋ว 83 ล้านปอนด์ ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด 263 ล้านปอนด์

 

 

นอกจากนี้ลิเวอร์พูลยังมีสปอนเซอร์ที่สนับสนุนอีก ทั้งธนาคาร standard chartered, western union, EA Sport, Carlsberg

ด้านในเรื่องของชุดแข่งขัน ลิเวอร์พูลจะหมดสัญญากับแบรนด์ New Balance ในฤดูกาลนี้ โดยฤดูกาลถัดไป 2020-21 จะเป็นแบรนด์ Nike ที่จะเข้ามาสนับสนุน พร้อมเงินอีก 80 ล้านปอนด์ ซึ่งลิเวอร์พูลจะได้รับประโยชน์จากช่องทางการจำหน่ายสินค้าที่มากขึ้น รวมถึงได้รับส่วนแบ่งจากการขายสินค้าอีกด้วย

ลิเวอร์พูลกำลังเดินหน้าสู่ความสำเร็จทั้งในสนาม และนอกสนามไปพร้อม ๆ กัน จากการบริหารที่สอดรับทั้งในเรื่องการตลาด มองถึงการสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ รวมถึงความสำเร็จในการแข่งขัน ซึ่งพวกเขายังคงไม่หยุดอยู่แค่นี้อย่างแน่นอน