มองอนาคตธุรกิจอีเว้นท์ ปี 2557


การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2556 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ประชาชนระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับช่วงปลายปีซึ่งถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการจะทุ่มงบประมาณจัดงานอีเว้นท์เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ก็ยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางด้านการเมือง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเลือกที่จะชะลอการจัดงานอีเว้นท์ออกไปหรือยกเลิกการจัดงานอีเว้นท์ ธุรกิจอีเว้นท์ในปี 2556 จึงไม่เติบโตตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

สำหรับในปี 2557 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า แนวโน้มการจัดสรรงบประมาณการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ มายังการจัดงานอีเว้นท์มากขึ้น ประกอบกับการชะลอการจัดงานอีเว้นท์ออกไปหรือยกเลิกการจัดงานอีเว้นท์ของผู้ประกอบการในปี 2556 ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการน่าจะทยอยกลับมาจัดงานอีเว้นท์ในปี 2557 นี้

 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงประมาณการว่า ธุรกิจอีเว้นท์จะเติบโตขึ้นจากมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท ในปี 2556 ไปสู่มูลค่าประมาณ 14,300-14,700 ล้านบาท ในปี 2557 หรือเติบโต ขึ้นร้อยละ 2-5

จากการที่ธุรกิจอีเว้นท์มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงไปในทิศทางเดียวกันกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า หากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในต้นปี 2557 นี้ ยืดเยื้อไปจนถึงช่วงกลางปี ประกอบกับมีปัจจัยลบด้านอื่นๆที่จะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้าในการอนุมัติโครงการภาครัฐ รวมถึงภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นเหตุให้ประชาชนมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการจัดงานอีเว้นท์ออกไป หรือยกเลิกการจัดงานอีเว้นท์ ก็อาจส่งผลให้ธุรกิจอีเว้นท์ในปี 2557 เติบโตได้เพียงร้อยละ 2 เท่านั้น ในขณะเดียวกัน หากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในต้นปี 2557 นี้ ไม่ยืดเยื้อ รวมถึงมีปัจจัยหนุนในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ธุรกิจอีเว้นท์ก็จะสามารถเติบโตได้ถึงร้อยละ 5 ตามที่คาดการณ์ไว้ได้

จากการประเมินแนวโน้มธุรกิจอีเว้นท์ ปี 2557  ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภายใต้ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังคงเกิดขึ้นภายในประเทศอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยกดดันให้ผู้ประกอบการย่อมให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณด้านการตลาดที่มีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงมีแนวโน้มจัดสรรงบประมาณการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ มายังการจัดงานอีเว้นท์มากขึ้น เนื่องจากการจัดงานอีเว้นท์เป็นการใช้งบประมาณสร้างประสบการณ์และการมีส่วนร่วมกับสินค้าและบริการสำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง และเป็นการสื่อสารสองทางระหว่างผู้ประกอบการและลูกค้า (Two-way Communication) รวมถึงยังสามารถวัดผลความสำเร็จได้อย่างชัดเจนมากกว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งเป็นเพียงการใช้งบประมาณสื่อสารจากผู้ประกอบการไปยังลูกค้าในทิศทางเดียว (One-way Communication) อีกทั้งการวัดผลความสำเร็จในการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าและบริการจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ยังเป็นไปได้ยากกว่าการจัดงานอีเว้นท์

ทั้งนี้ แม้ว่าการจัดงานอีเว้นท์จะมีความอ่อนไหวในระดับสูงต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศและปัจจัยภายนอกที่ควบคุมหรือคาดการณ์ได้ยาก แต่ก็พบว่า ผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ในประเทศไทยยังมีโอกาสกระจายความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจภายใต้ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระจายความเสี่ยงจากการรับจัดงานอีเว้นท์เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ไปสู่การเปิดตลาดธุรกิจอีเว้นท์ในต่างจังหวัดและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม (CLMV) ที่ผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ภายในประเทศยังมีข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการจัดงานอีเว้นท์ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญของผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ของไทยที่มีความพร้อมมากกว่าในการเข้าไปให้บริการในประเทศดังกล่าว ดังจะเห็นได้จากการที่มีผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ขนาดใหญ่ของประเทศไทยได้เริ่มเข้าไปเจาะตลาดประเทศกลุ่ม CLMV มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศเมียนมาร์ ที่ได้มีการรับจัดงานอีเว้นท์และแคมเปญขนาดใหญ่ในปีที่ผ่านมา เช่น งานเฉลิมฉลองเค้าท์ดาวน์เข้าสู่ปีใหม่ งานเทศกาลสงกรานต์ งานมหกรรมกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 27 เป็นต้น รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ขนาดใหญ่ของประเทศไทยยังริเริ่มสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ของประเทศกลุ่ม CLMV ในหลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น การร่วมหุ้นจัดตั้งบริษัท การร่วมก่อสร้างสถานที่จัดงานอีเว้นท์เพื่อส่งเสริมให้ประเทศกลุ่ม CLMV มีสถานที่รองรับการจัดการงานที่จะสามารถต่อยอดธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ขนาดใหญ่ของประเทศไทยได้ เป็นต้น

 

ธุรกิจอีเว้นท์กลุ่ม SME ปรับกลยุทธ์

                ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ขนาดใหญ่ สามารถใช้ข้อได้เปรียบทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ในการบริหารจัดการงานอีเว้นท์ ผนวกกับเครือข่ายพันธมิตรที่มีอยู่ ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจสื่อโฆษณา รวมถึงธุรกิจบันเทิง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศในกลุ่ม CLMV ที่พบว่า รูปแบบวิถีชีวิตและรสนิยมของผู้คนมีความคล้ายคลึงกับคนไทย ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ขนาดใหญ่สามารถนำองค์ความรู้ในด้านความเข้าใจในความต้องการของคนไทยประยุกต์ใช้กับผู้คนในประเทศดังกล่าวได้ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพิจารณาถึงความแตกต่างด้านรูปแบบวิถีชีวิตและรสนิยมในบางประการที่เป็นประเด็นอ่อนไหวควบคู่กันไป เพื่อให้การขยายธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปด้วยความราบรื่น

                 สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ขนาดกลางและขนาดเล็กนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผู้ประกอบการควรปรับกลยุทธ์จากการเป็นผู้บริหารการจัดงานมาสู่การเป็นผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร กล่าวคือ ประยุกต์ใช้จุดแข็งในด้านความเข้าใจความต้องการของผู้เข้าร่วมงานอีเว้นท์ มาต่อยอดในการเป็นผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร ทั้งในรูปแบบการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการจัดการงานอีเว้นท์

 

ผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ขนาดกลางและขนาดเล็กยังจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่สนับสนุนการประกอบธุรกิจในด้านต่างๆ เช่น การจัดหาอุปกรณ์ เทคโนโลยี แสง สี เสียง เทคนิคพิเศษ และบุคลากร รวมถึงยังจำเป็นต้องมุ่งนำเสนอความเป็นมืออาชีพในการจัดงาน ผ่านการสร้างสรรค์รูปแบบการจัดงานให้มีความน่าสนใจ สามารถตอบโจทย์เป้าหมายในการจัดงานอีเว้นท์ของลูกค้าที่ใช้บริการภายใต้งบประมาณที่จำกัด รวมถึงมีแผนสำรองต่างๆในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้น

                 ผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ขนาดกลางและขนาดเล็กยังจำเป็นต้องนำเสนอการประยุกต์ใช้ความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีสำหรับการจัดงานอีเว้นท์ เพื่อสร้างความแตกต่างจากผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ขนาดกลางและขนาดเล็กรายอื่นๆ ที่จะนำมาซึ่งกระแสการแนะนำหรือบอกต่อระหว่างลูกค้าที่ใช้บริการ และจะส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถขยายเครือข่ายกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการให้กว้างขวางขึ้น ก่อให้เกิดรายได้ที่สูงขึ้น รวมถึงยังเป็นการหลีกเลี่ยงภาวะการแข่งขันทางด้านราคาระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ขนาดกลางและขนาดเล็กในตลาดได้ทางหนึ่ง ทั้งนี้ การสั่งสมประสบการณ์การจัดงานอีเว้นท์ รวมถึงความมุ่งมั่นในการสร้างผลงานที่น่าประทับใจสำหรับลูกค้าที่ใช้บริการ จะส่งผลให้ผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถพัฒนาขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ มีความน่าเชื่อถือ รวมถึงสามารถยกระดับไปสู่การรับจัดงานอีเว้นท์ขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้

                อย่างไรก็ดี การที่ธุรกิจอีเว้นท์เป็นธุรกิจให้บริการ ซึ่งมีบุคลากรเป็นหัวใจสำคัญในการประกอบธุรกิจ ผู้ประกอบการธุรกิจอีเว้นท์ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการพัฒนาทักษะของบุคลากรในด้านต่างๆสอดคล้องตามตำแหน่ง หน้าที่ และความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นด้านความคิดสร้างสรรค์ในการจัดงานอีเว้นท์ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รวมถึงทักษะการสื่อสารภาษาต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษาอังกฤษ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจจากการรับจัดงานอีเว้นท์ในประเทศ ไปสู่การรับจัดงานอีเว้นท์ในต่างประเทศได้