รู้อิเหนา รู้เรา เข้าใจตลาด ขยายโอกาสธุรกิจไทยสู่อินโดฯ


กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดยศูนย์พัฒนาการค้าและธุรกิจไทยในอาเซียน จัดเสวนา Insight  Indonesia รู้อิเหนา รู้เรา เข้าใจตลาด ภายใต้โครางการพัฒนา และสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการไทยสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนปี 2558 เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยได้ศึกษา วิเคราะห์ลู่ทางโอกาสและผลกระทบต่างๆ ทั้งเตรียมความพร้อมพัฒนาขีดความสามารถขยายธุรกิจสู่ประเทศอินโดนีเซีย  

คุณณรงค์ จิวังกูร กรรมการธนาคารธนชาต และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการตลาด กล่าวถึงตลาดอินโดนีเซียว่า สิ่งที่ทำให้ตลาดอินโดนีเซียเป็นที่น่าสนใจในการเข้าไปประกอบธุรกิจนั้น เนื่องจากประเทศอินโดนีเซียเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ที่มีอัตราการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเริ่มเป็นแหล่งลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ โดยสามารถเห็นได้จากยอด FDI ที่มีอัตราเพิ่มเฉลี่ยประมาณร้อยละ 20 สำหรับในส่วนอินโดนีเซียมีจุดแข็งหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนาดเศรษฐกิจทีมีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งมีการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และมีเสถียรภาพจนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจโตเร็วอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งอัตราการเติบโตเศรษฐกิจเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 6 หลายปีติดต่อกัน

ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจอินโดนีเซียนั้นมีการเติบโตมาจาก การบริโภคภายในประเทศ แสดงถึงอุปสงค์ต่อสินค้าและการบริการภายในประเทศจำนวนมหาศาล ด้วยประชากรที่มีมากกว่า 245 ล้านคน มากเป็นอันดับ 3 ของโลกในอาเซียน โดยมีประชากรที่มีอำนาจซื้อสูงถึง 35 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 10-15 ของประชากรอินโดนีเซีย และมีกลุ่มชนชั้นกลาง 131 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 56 ของประชากรอินโดนีเซีย ฉะนั้นประเทศอินโดนีเซียจึงเป็นกลุ่มตลาดที่น่าสนใจเข้าไปทำการค้า ทั้งนี้ในเรื่องของการนำสินค้าไทยเข้าไปจำหน่ายในต่างประเทศ ควรที่จะศึกษาด้านวัฒนธรรมการกิน ความเป็นอยู่ของประเทศนั้นด้วย ว่าเขาต้องการสินค้าประเภทใดมากที่สุด แล้วนิยมซื้อสินค้าอะไรมากที่สุด เพื่อจะได้ทำการค้าได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามการแข็งขัน ทางด้านธุรกิจ บางคนทำธุรกิจ SMEs ซึ่งทางเรามี ID ช่วยด้วย คือการเข้าตลาดต่างประเทศ ต้องดูให้ดีและต้องดูให้สอดคล้องกับธุรกิจของตนเองด้วย

คุณพจน์  อร่ามวัฒนานนท์ นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวถึงสินค้าไทยที่จะเข้าสู่ประเทศอินโดนิเซียว่า 90% เป็นผู้ประกอบการไทยในด้าน SMEs ดังนั้นเหตุที่ทางเรามุ่งที่จะเจาะตลาดอินโดนีเซียเนื่องจากประเทศอินโดนีเซียใน 10 ปีหลังนี้ การเปลี่ยนแปลงจะมีความมั่นคั่งยิ่งขึ้น รายได้ดี มีนักธุรกิจเกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงศักยภาพในการทำธุรกิจก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในเรื่องของพื้นที่ ทรัพยากร ภายในประเทศอินโดนีเซียนั้น เขาสามารถจัดการปรับการปกครองได้ดีขึ้น ฉะนั้นทางเราจะผลักดัน  SMEs ไทยอย่างเดียวไม่ได้ สิ่งที่จำเป็นในการดำรงธุรกิจให้ดีคือ การเตรียมความพร้อมของตนเอง ว่าธุรกิจของเรานั้นมีอะไร แล้วขาดอะไร ต้องการอะไรเพิ่มเติม สิ่งเหล่านี้ควรที่จะตระหนักเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการส่งออกนั้นมีหลักเกณฑ์หลายอย่าง เช่น การที่จะส่งสินค้าไทยเข้าสู่ต่างประเทศ ต้องดูว่าสินค้าของเราเป็นที่ต้องการของต่างประเทศหรือไม่ และการทำธุรกิจในต่างประเทศเราต้องหาหุ้นส่วนที่เชี่ยวชาญและชำนาญให้เข้ามาร่วมทำธุรกิจกับเรา แต่ต้องเลือกหุ้นส่วนที่เป็นคู่ทำธุรกิจให้ดี เพราะอาจโกงสินค้าของเรากลายเป็นของเขาได้เช่นกัน

คุณพจน์กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องของสินค้าไทย โดยเฉพาะอาหารไทยอร่อยไม่แพ้ต่างประเทศแน่นอน ส่วนเครื่องประดับ ,แฟชั่นของไทยนั้นก็สามารถสู่ต่างประเทศได้เช่นกัน แต่สำหรับเครื่องนุ่งห่มของไทยยังไม่สามารถสู้ประเทศจีนได้ ฉะนั้นต้องนำเรื่องของ Art side  ผสมเข้าไปเพื่อให้มีความโดดเด่นในรูปลักษณ์ของสินค้า ดังนั้นที่ไหนมีการแข่งขันเราไม่ควรท้อ แต่ควรให้การแข็งขันนี้เป็นแรงผลักดันธุรกิจให้ก้าวหน้า และต้องหันกลับมาถามตนเองว่าพร้อมหรือยังที่จะเข้าไปทำธุรกิจใน AEC และต้องมองกว้างๆ อย่ามองเพียงแค่ออกไปขายใน AEC เพียงอย่างเดียว

คุณพีท น้อยอ่ำ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ต่างประเทศ บริษัท อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด กล่าวถึงการเตรียมตัวสู่ตลาดประเทศอินโดนีเซียว่า ประเทศอินโดนีเซียมีความต้องการสินค้าไทยยังสูง โดยเฉพาะในหมวดของอาหาร อย่างเช่นขนมไทย ซึ่งทางประเทศอินโดนีเซียต้องการเอาขนมไทยไปผลิตภายในประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากขนมไทยมีรสชาติที่โดดเด่นในความต้องการของผู้บริโภค แต่ผู้ประกอบการไทยต้องมีการจัดการที่ดี ต้องหาจุดแข็งของสินค้าตนเองให้เจอ และต้องดูว่าผู้บริโภคของต่างประเทศต้องการอะไร เพราะวัฒนธรรมการกินแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน อีกทั้งต้องกำหนดแผนธุรกิจด้วย แต่ถ้าหากเป็นตลาดใหญ่ควรเป็นตลาดแฟรนไชส์มากกว่า เพราะสามารถเข้าถึงได้กว้าง ดังนั้นสิ่งสำคัญไม่ควรเริ่มทดลองการค้าก่อนที่จะศึกษาข้อมูลของต่างประเทศ เพราะธุรกิจอาจไม่มีประสิทธิภาพในการอยู่รอดได้ ทั้งนี้ต้องดูค่านิยมของต่างประเทศว่าอาหารแบบไหนที่นิยมรับประทานมากที่สุด หรือลูกค้าสนใจเครื่องประดับชิ้นไหน สีอะไรมากที่สุด ฉะนั้นต้องสังเกตและประเมินลูกค้าให้ละเอียด

การลงทุนการทำธุรกิจในต่างประเทศต้องมีความมั่นใจว่า สินค้าตนเองต้องการตลาดแบบไหน หาหลักให้เจอ ไม่จำเป็นต้องแข็งขันกับคู่แข็งถึง 10-20 รายในตลาดต่างประเทศ เพียงแต่เข้าไปให้ได้ และสรรหาตลาดที่ขาดสินค้าของตนเอง ที่เป็นสิ่งที่ต้องการของตลาดนั้นด้วย คุณพีทกล่าวทิ้งท้าย