บริษัท แลมป์ตั้น เผยเตรียมรุกตลาด B2B ด้านหลอดไฟและอุปกรณ์เกี่ยวกับแสงสว่าง ในงาน PEA presents EcoLightTech Asia 2014 เพื่อขยายตลาดไปยังประเทศในอาเซียน พร้อมดันไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและจัดจำหน่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดร.กฤษฎา ไชยสงวนมิตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลมป์ตั้น ไลท์ติ้ง (2001) จำกัด กล่าวว่า “แลมป์ตั้น เป็นแบรนด์หลอดไฟของไทยแท้ๆ และอยู่ในตลาดมากกว่า 30 ปี โดยในปัจจุบันมีการส่งออกไปยัง 56 ประเทศทั่วโลก ได้แก่กลุ่มประเทศอาเซียน อเมริกา และสหภาพยุโรป โดยในเริ่มแรกแลมป์ตั้นผลิตได้แต่หลอดฟลูออเรสเซนต์และได้ทำการเปิดตลาดหลอด LED เมื่อ 3 – 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมียอดขายเติบโตถึง 150 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี นับว่าเกินความคาดหมายที่แลมป์ตั้นได้ตั้งเอาไว้เป็นอย่างมาก ด้วยนโยบายที่มุ่งเน้นในการรักษาคุณภาพสินค้าและมีดีไซน์ที่โดดเด่นแตกต่างจากของแบร์นอื่นๆ และมีราคาที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่มได้ จึงทำให้แลมป์ตั้นติดตลาดของไทยมาจนถึงทุกวันนี้”
ปัจจุบันตลาดหลอดไฟและโคมไฟในประเทศไทย มีมูลค่าสูงถึง 20,000 ล้านบาท โดยในกลุ่มของโคม LED เป็นกลุ่มที่มีการเจริญเติบโตสูงสุด โดยในปีที่ผ่านมาสามารถขยายตัวได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ และในอนาคตคาดว่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 50 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ แลมป์ตั้นถือได้ว่ามีศักยภาพทางการผลิตที่ไม่น้อยหน้าแบรนด์อื่นๆ และพร้อมที่จะเป็นผู้นำในตลาดสินค้าในกลุ่มของการให้แสงสว่าง
ดร.กฤษฎา ไชยสงวนมิตต์ ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ ภาพรวมของตลาดในตอนนี้มีการจำหน่ายหลอดไฟที่เป็น LED อยู่ที่ 10 – 20 เปอร์เซ็นต์ และคาดว่าในปีต่อไปจะมีถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะช่วงนี้ กำลังเป็นช่วงที่ผู้บริโภคพึ่งจะหันมาสนใจ LED อาจจะต้องใช้เวลา 3 – 5 ปี ในการให้ตลาด LED เติบโตได้สูงสุด”
และเนื่องด้วยในปี 2558 ประเทศไทยจะเข้าสู่อาเซียนหรือ AEC ทำให้ แลมป์ตั้น ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องของการส่งเสริมการขายและการตลาดสำหรับธุรกิจการค้าแบบ B2B หรือ Business – to – Business ซึ่งเป็นการตลาดระหว่างองค์กรกับองค์กรด้วยกันเอง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนทางการตลาด 20 เปอร์เซ็นต์ และใช้งบประมาณทั้งสิ้น 3,000 ล้าน และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทางแลมป์ตั้น ได้ตัดสินใจเข้าร่วมงาน PEA presents EcoLightech Asia 2014 งานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านแสงสว่างประหยัดพลังงานเพื่อผู้ประกอบการ เป็นครั้งที่ 2 เนื่องจากได้รับการตอบรับที่ดีในปีที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้าชมงานถึง 4,000 คน และในปีนี้ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะต้องมีผู้เข้าชมงานจำนวน 5,000 – 8,000 คน เพราะเห็นว่าเป็นช่องทางที่สอดคล้องกับแผนการตลาดและกลยุทธ์ของแลมป์ตั้น ที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและจัดจำหน่ายในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร
ภายในงานครั้งนี้ แลมป์ตั้น ได้เตรียมสินค้าที่พิเศษและคุณภาพดีที่สุด และเหมาะสำหรับผู้ประกอบการ B2B อาทิเช่น LED T8 , LED Panel เป็นต้น รวมไปถึงสินค้าด้านนวัฒกรรมที่ใช้สำหรับตกแต่งอีกมากมาย โดยที่หลอดไฟฟ้า LED ของแลมป์ตั้น ได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีรูปลักษณ์ที่สวยงามต่างจากแบรนด์อื่นๆ และมีอายุการใช้งานถึง 30,000 ชั่วโมง และสามารถประหยัดพลังงานได้มากกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับหลอดแบบฟลูออเรสเซนต์ แถมยังมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยในการถนอมสายตา ไม่มีแสงยูวี มาทำลายผิวหนัง อีกด้วย
นายปณิธาน บำราศอรินทร์พ่าย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานจัดการประชุม บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์แอนด์ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด และรักษาการผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ็น.ซี.ซี ผู้จัดงานในครั้งนี้ กล่าวว่า “ในปีนี้ ได้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ พีอีเอ มาเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน โดยพีอีเอ ได้ให้ความสนใจงานในครั้งนี้ เพราะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ซึ่งงานในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากผู้ผลิตชั้นแนวหน้าทั่วโลกมาร่วมออกบูธกว่า 100 ราย ซึ่งทำให้สามารถเปิดตลาดของไทยได้ง่ายขึ้น และไม่ต้องเสียค่าเดินทางไปยังต่างประเทศ นอกจากนี้ ทางพีอีเอ ยังได้ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย จัดทำสินเชื่อพิเศษชื่อ “โปรแกรมสินเชื่อประหยัดไฟฟ้ากสิกรไทย” หรือ “K Top – Up for Energy Saving (Lighting Solutions) ซึ่งเป็นสินเชื่อระยะยาวให้วงเงินกู้สูงสุด 100 เปอร์เซ็นต์ สนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้เป็นเงินทุนในการเปลี่ยนหลอดไฟแบบเดิมเป็นหลอด LED โดยในโครงการนี้จะทำให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่าไม่กระทบต่อกระแสเงินสดที่ใช้หมุนเวียนในกิจการอย่างแน่นอน เพราะการเปลี่ยนหลอดไฟจะช่วยลดต้นทุนไฟฟ้าในการผลิตได้มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และสามารถคืนทุนได้ในเวลาไม่เกิน 2 ปี ซึ่งจะจำกัดเฉพาะผู้ที่เข้าร่วมงาน PEA presents EcoLcoightTech Asia 2014 เท่านั้น
การจัดงานในปีนี้ คาดว่า จะสามารถสร้างมูลค่าการซื้อขายได้ประมาณ 5 พันล้านบาท และสามารถเข้าไปตีตลาด 3 ประเทศสำคัญ ได้แก่ อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมทั้งสามารถเพิ่มคู่ค้าจากจากหลากหลายประเทศที่เข้าร่วมงานได้