กระแสเงินทุนต่างประเทศทะลักเข้าไทยต่อเนื่อง


กระแสเงินทุนต่างประเทศทะลักเข้าไทยต่อเนื่อง

กระแสเงินทุนต่างประเทศหรือฟันด์โฟลว์เคลื่อนย้ายเข้าตลาดเอเชียรวมถึงประเทศไทยต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีนักลงทุนรายย่อยควรระมัดระวังในการซื้อขายหุ้น หากจะซื้อต่อก็เลือกเก็งกำไรหุ้นที่มีผลประกอบการดีในไตรมาส2และ3

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.อาร์เอชบี ประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้กระแสเงินทุนต่างประเทศ(ฟันด์โฟลว์)เคลื่อนย้ายเข้าตลาดเอเชียรวมถึงประเทศไทยต่อเนื่อง เพื่อต้องการผลตอบแทนการลงทุนที่สูง

โดยเฉพาะในตลาดหุ้นและคาดว่าหากในปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟดไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย  นักลงทุนกังวลสถานการณ์เศรษฐกิจและเบร็กซิทในยุโรปมากขึ้น และผลการลงประชามติเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 ส.ค.นี้ผ่านไปด้วยดีก็จะยิ่งทำให้ฟันด์โฟว์ลเคลื่อนย้ายเข้าตลาดหุ้นไทยยิ่งขึ้น

ดังนั้นแนะนำให้นักลงทุนรายย่อยเลือกเล่นหุ้นตามที่ฟันด์โฟลว์ปัจจุบันสลับมาเล่นเป็นรายกลุ่มทั้งกลุ่มแบงก์//พลังงาน//อสังหาริมทรัพย์//รับเหมาก่อสร้าง//เกี่ยวกับด้านการท่องเที่ยวและกลุ่มที่ราคาหุ้นต่ำแต่ผลประกอบการดี

ทั้งนี้ยอมรับว่าราคาหุ้นไทยที่ปรับขึ้นต่อเนื่องนั้นส่วนใหญ่เป็นเงินจากฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงหลังจากช่วง 2-3 ปีก่อนต่างชาติขายหุ้นไทยไปมากแล้วกลับมาซื้อใหม่ต่อเนื่องในปีนี้ส่งผลให้ครึ่งแรกของปีผลตอบแทนหุ้นไทยดีสุดในเอเชีย

อย่างไรก็ตามนักลงทุนรายย่อยก็ควรระมัดระวังในการซื้อขายหุ้นเพราะดัชนีก็ปรับมาสูงแล้ว แต่หากจะซื้อต่อก็เลือกเก็งกำไรหุ้นที่มีผลประกอบการดีในไตรมาส2และ3 รวมถึงเล่นตามฟันด์โฟลว์เพราะเชื่อว่าเงินเหล่านี้ยังอยู่ในตลาดหุ้นไทยอีกนาน

ขณะเดียวกันผลของฟันด์โฟลว์ไหลเข้าในไทยได้ส่งผลให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่ากว่า35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมาอยู่ในระดับ 34.92-34.94 บาทต่อดอลลาร์ /และมีแนวโน้มที่แข็งค่าขึ้นในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตามในสัปดาห์นี้ ปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามคือการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ)ว่ามีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ รวมถึงให้จับตาการประชุมเฟด ส่วนปัจจัยภายในคงต้องติดตามตัวเลขการส่งออกไทยประจำเดือนมิ.ย. 59 ว่าจะออกมาเป็นอย่างไรโดยทั้งหมดจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้