สสว.ลุยสินเชื่อเพื่อ SMEจิ๋ว ยืมฟรีไม่คิดดอก 2 แสนบาท ผ่อนนาน 10 ปี


สสว.เดินหน้าโครงการ “สินเชื่อประชารัฐ เพื่อ Micro SME” ดึงเงินจาก “กองทุนฟื้นฟูSME”  จำนวน 500 ล้านบาทมาให้เอสเอ็มอีรายย่อยและวิสาหกิจชุมชน ยืมฟรีไม่คิดดอกเบี้ย รายละ 200,000 บาท ผ่อนนาน 10 ปี ไม่ต้องส่งเงินต้นใน 3 ปีแรก อนุมัติด่วนใน 7 วัน คาดผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุนกว่า 2,500 ราย เชื่อปล่อยหมดในเวลาไม่เกิน 2 เดือน พร้อมกัน 100 ล้านบาท เติมความรู้เสริมแกร่งผู้ประกอบการ 10,000 ราย

 นางสาลินี วังตาล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ( สสว. )กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานแถลงข่าว และรับคำขอสินเชื่อประชารัฐ เพื่อ Micro SME (Micro SME Loan) ว่า เมื่อไม่นานมานี้ ที่ประชุมคณะกรรมการสานพลังประชารัฐกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยๆ (Micro SME) โดยเฉพาะภาคเกษตร โดยทาง สสว. นำเสนอใน 2ด้านหลัก ได้แก่   1. การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน และ  2.การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งมาตรการทั้ง 2 ด้านนี้ ได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายอุตตมะ สาวนายน ประธานอนุกรรมการของ สสว.แล้ว   

สำหรับด้านแรก ซึ่งเป็นความช่วยเหลือทางการเงินนั้น  สสว. จะจัดสรรเงินจาก “กองทุนฟื้นฟู SME วงเงิน 2,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลมอบหมายให้ สสว. ดำเนินการ  ซึ่งปัจจุบันปล่อยไปจำนวน 400 ล้านบาท ยังมีวงเงินเหลืออยู่ 1,600 ล้านบาท โดยเบื้องต้นจะแบ่งมาจำนวน 500 ล้านบาท เพื่อมาปล่อยกู้ให้แก่ SME รายย่อย (Micro SME) และวิสาหกิจชุมชน รายละไม่เกิน 2 แสนบาท โดยไม่ต้องมีหลักประกันและไม่คิดดอกเบี้ย เป็นเงินกู้ระยะยาว 10 ปี เพื่อให้กิจการรายย่อยนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนหรือปรับปรุงกิจการ

นางสาลินี  เผยด้วยว่า   สสว.ได้ปรับปรุงวิธีการปล่อยกู้ให้ง่าย และรวดเร็วขึ้นในลักษณะเดียวกันกับ Program Lending ที่สถาบันการเงินใช้ในการให้สินเชื่อcredit card หรือ  personal loan โดย สสว. ตั้งเป้าไว้ว่า จะพยายามอนุมัติเงินกู้ให้ได้ภายใน 7 วันทำการ นับตั้งแต่ผู้ประกอบการยื่นคำขอกู้ และได้พยายามจัดขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินกู้ให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะ สสว. ตระหนักดี ว่า ผู้ประกอบการรายย่อยมักประสบปัญหาขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน

ทั้งนี้ คุณสมบัติของผู้ประกอบการรายย่อย และวิสาหกิจชุมชนที่สามารถขอกู้ได้คือ 1) มีสถานประกอบการเป็นหลักแหล่งหรือมีการจดทะเบียนการค้า หรือทะเบียนพาณิชย์ หรือทะเบียนอื่นใดกับหน่วยงานราชการโดยอาจจะเป็นบุคคลธรรมดา คณะบุคคล หรือนิติบุคคลก็ได้  2)  ดำเนินกิจการแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี และมีความตั้งใจที่จะดำเนินกิจการต่อไป และ 3) เป็นลูกค้าของสถาบันการเงิน ซึ่งมีความหมายกว้าง ครอบคลุมคือ ธนาคารทุกประเภท กิจการ Non Bank ทุกประเภท เช่น ลิสซิ่ง บัตรเครดิต Nano Finance เป็นต้น ทั้งนี้ผู้ประกอบการอาจจะเป็นลูกค้าปกติที่สามารถจ่ายชำระได้ หรือเป็น NPL ก็ได้

ผอ.สสว. เผยด้วยว่า วงเงินให้กู้ยืมจะมุ่งเน้นที่เอสเอ็มอีรายย่อยและวิสาหกิจชุมชน  ซึ่งคาดว่าจะปล่อยให้แก่ผู้ประกอบการได้จำนวน 2,500  ราย  ซึ่งคาดจะปล่อยได้หมดวงเงินเบื้องต้น 500 ล้านบาท ไม่เกิน 2 เดือน และหากมีความจำเป็น สสว. อาจจะนำเงินจาก “กองทุนฟื้นฟู SME ที่เหลืออีกกว่า 1,000 ล้านบาท มาปล่อยเพิ่มเติม และหากยังมีความต้องการมากกว่านั้นอีก จะเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อให้พิจารณาจัดสรรงบประมาณมาเพิ่มเติมต่อไป

ทั้งนี้  ในวันนี้ (11 พ.ค.) สสว.ได้เชิญผู้ประกอบการรายย่อยจำนวน 40 ราย จาก 7 จังหวัด ได้แก่ อุทัยธานี นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา ชุมพร เพชรบุรี ชัยนาท สระบุรี และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ส่งสินค้าเข้าไปขายในร้านค้าประชารัฐสุขใจ shop จำนวน 406 ราย จาก 31 จังหวัด รวมเป็นผู้ประกอบการจำนวนทั้งสิ้446 ราย ที่ให้ความสนใจมายื่นคำขอกู้เงิน ผู้ประกอบการเหล่านี้ได้กรอกแบบฟอร์มขอกู้เงิน และเข้าสู่กระบวนการพิจารณาอนุมัติเป็นล็อตแรก วงเงินสินเชื่อ 89.2 ล้านบาท

ผอ.สสว. เผยต่อว่า  ในด้านที่สอง ด้านเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน   เพื่อให้กิจการรายย่อย สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน และมีโอกาสจะขยายตัวได้ตามศักยภาพ สสว.ได้จัดงบประมาณ 100 ล้านบาท โดยจะดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาคีใน 3 เรื่อง ตั้งเป้าจะมีเอสเอ็มอีรายย่อยเข้าร่วมจำนวน 10,000 ราย โดยแบ่งความรู้ เป็น 3 ด้าน ได้แก่

1) การให้ความรู้ด้านการตลาด แก่ผู้ประกอบการรายย่อยในภูมิภาคทั่วประเทศ  โดยเฉพาะการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อผู้ประกอบการจะมีความเข้าใจว่า ควรจะปรับปรุงสินค้า/บริการ อย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อในเขตเมือง ในกรณีที่ต้องมีการปรับปรุง สสว. จะหาโครงการอื่นเข้ามารองรับต่อไป

2) การยกระดับมาตรฐานสินค้าให้ถูกสุขอนามัยไม่มีผลเสียต่อสุขภาพ เป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก สสว. จะดำเนินการในเรื่องนี้ร่วมกับ อย.(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) และบริษัท Central Lab ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ สสว. กับกระทรวงการคลัง โดยจะเน้นกลุ่มสินค้าประเภทอาหาร เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

3) จูงใจให้ทำบัญชีอย่างถูกต้อง เป็นโปรแกรมสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่มีสินค้า/บริการเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่แล้ว และมีความต้องการที่จะขยายกิจการ ให้เติบโตได้อย่างมั่นคง สสว. จะจัดดำเนินการร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า