ต่างชาติครอง อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทย


ธุรกิจที่ให้บริการเกี่ยวกับด้านโลจิสติกส์นั้น มีการแข่งกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องด้วยผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์นั้นมีการเข้าแข่งขันในตลาดมากขึ้นหลายราย และเป็นคู่แข่งที่อาจจะทำให้ไปรษณีย์ไทยต้องหวั่นได้เช่นกัน

ด้านนายชุมพล สายเชื้อ นายกสมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย (TTLA) กล่าว่า อุตสาหกรรมโลจิสติกส์และภาคขนส่งในประเทศไทยปัจจุบันน่าเป็นห่วงอย่างมากต่ออนาคตผู้ประกอบการไทย เนื่องจากพบว่าสัดส่วนการตลาดของอุตสาหกรรมนี้ในประเทศไทย ตกอยู่ในมือบริษัทต่างชาติยักษ์ใหญ่ถึง 80-90% โดยเฉพาะการขนส่งทางน้ำและการขนส่งทางอากาศ ศักยภาพของเอกชนไทยสู้ต่างชาติรายใหญ่ไม่ได้ด้วยข้อจำกัดด้านเงินทุน ส่งผลให้เป็นความเสี่ยงของผู้ประกอบการโลจิสติกส์ขนาดกลางซึ่งมีโอกาสที่จะล้มเหลวทางธุรกิจได้ง่ายกว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้ประกอบการรายเล็กซึ่งสามารถเลือกเป็น Sub-contact กับต่างชาติได้

สำหรับสาเหตุของปัญหาคือ การที่เปิดช่องให้คนต่างชาติถือหุ้นได้มากกว่า 51% ดังนั้นเอกชนจึงกล้าที่จะทุ่มเงินลงทุนหลายพันล้านบาท นอกจากนี้บริษัทต่างชาติยังมาพร้อมกับ เครือข่ายธุรกิจเกี่ยวเนื่องเช่น สินค้าออนไลน์และอี-คอมเมิร์ซในรูปแบบต่างๆ

นอกจากนี้ผู้ประกอบการไทยอย่าง ไปรษณีย์ไทย ยังเป็นผู้ครองสัดส่วนตลาด 50-60% แต่การเติบโตลดลงเรื่อยๆ และอัตราเติบโตของรายได้น้อยกว่าเอกชนเกือบ 10 เท่า ปัจจุบันไปรษณีย์ไทยโตปีละ 10% แต่ Kerry โตปีละ 100% ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์สอง อย่างไรก็ตามความน่ากลัวอยู่ตรงที่เอกชนทำธุรกิจแบบกล้าได้กล้าเสีย ยอมขาดทุนในช่วงแรกเพื่อดึงลูกค้าให้มาสนใจใช้บริการจำนวนมาก

Kerry จึงทำการตลาดที่ได้น่าสนใจ กว่าไปรษณีย์ไทยเช่น สินค้ากล่องเล็ก ราคา 25 บาท แต่ไปรษณีย์ไทย คิดราคา 45-60 บาท ซึ่งเป็นการยอมขาดทุนในช่วงแรก แต่ผลกำไรเติบโตขึ้นในอัตราส่วนเดียวกัน ปัจจุบันกำไรมากกว่าปีละ 1,000 ล้านบาท

ทั้งหมดคือภาพรวมของตลาดโลจิสติกส์ที่กำลังเป็นธุรกิจดาวรุ่งพุ่งแรงในยุคดิจิทัล ผู้ประกอบการไทยควรจับตากระแสการเปลี่ยนแปลงของการใช้เทคโนโลยีของภาคโลจิสติกส์อย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นการสร้างความสามารถในการแข่งขันที่เข้มข้นเป็นอย่างมากในยุคดิจิทัล